จากกรณีนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครองสำนักการสืบสวนและนิติการกรมการปกครอง พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง นำกำลังเข้าจับกุม ด.ต.ภูวเมศร์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.3 และนายมานัส สุขสอง อายุ 46 ปี ชาว จ.สุพรรณบุรี บริเวณลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พื้นที่หมู่ 6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ขณะทั้งสองคนขับรถมาตระเวนเก็บส่วยตามสถานบันเทิงใน พื้นที่ จ.นนทบุรี โดยสามารถยึดเงินของกลางที่ทำสัญลักษณ์ไว้ได้จำนวนหนึ่งที่เจ้าหน้าที่วางแผนล่อไว้และผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เพิ่งเก็บเงินมาจากสถานบันเทิงมาก่อนหน้านี้ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ด่วน! ให้ออกจากราชการ ‘ด.ต.’ เก็บส่วย สั่งตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรงทันควัน

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท. ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินการภายหลังข้าราชการตำรวจในสังกัดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอ้างตัวเป็นชุดเฉพาะกิจของกรมการปกครองตระเวนเก็บเงินจนเป็นเหตุให้ถูกจับกุม พร้อมยกมือไหว้ขอโทษประชาชนกับเหตุการณ์ ด.ต. ในสังกัดตำรวจท่องเที่ยวทำลายภาพลักษณ์และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน ทั้งนี้ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์จริง

โดยวันเกิดเหตุคือวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาได้มีการสั่งการให้ ด.ต.รายดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ บก.น.4-6 กทม. หรือในพื้นที่เช่น สน.ประเวศ สน.บางรัก สน.ทองหล่อ แต่ปรากฏว่า ด.ต.นายดังกล่าวกลับนำรถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 112 ขับไปยังพื้นที่ สภ.บางใหญ่ พร้อมกับนายมานัส สุขสม ผู้ต้องหาชาวสุพรรณบุรี ทำการเรียกรับผลประโยนช์กับสถานบันเทิงในพื้นที่ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าจับกุมพร้อมเงินของกลาง

สำหรับพฤติการณ์ของ ด.ต.รายนี้ พบว่ามีการอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง แต่มีการขับรถตำรวจท่องเที่ยวไปเรียกรับเงิน โดยมีการสวมใส่เสื้อกั๊กสีดำ มีตราตำรวจท่องเที่ยว ส่วนเครื่องแบบตำรวจถูกแขวนไว้ในรถสายตรวจร่วมกับนายมานัส ที่ขับรถเก๋งอีกคัน โดยนายมานัสจะอ้างว่าตนเองเป็นตำรวจท่องเที่ยวเข้าไปสมทบก่อเหตุ

สำหรับประวัติของ ด.ต.ภูวเมศร์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.2 อายุ 38 ปี เข้ารับราชการตั้งแต่ปี 2553 รวม 12 ปี โดยก่อนหน้านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะถูกโยกย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2565 ซึ่งตอนแรกที่ย้ายมาได้ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจ แต่ต่อมาถูกผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ธุรการเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2565 กระทั่งเดือน มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวมีการติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนกำลังพลเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยงานออกตรวจ ทำให้ ด.ต.รายนี้มีโอกาสที่ใช้รถสายตรวจในการก่อเหตุ ทั้งนี้จากการที่ ด.ต.รายนี้ถูกโยกย้ายจากเมืองพัทยา และปรับเปลี่ยนหน้าที่ ก็ทำให้เชื่อได้ว่าผู้บังคับบัญชาน่าจะเล็งเห็นถึงความผิดปกติ ส่วนสาเหตุการโยกย้ายคณะกรรมการยังไม่ได้มีการสอบสวนหรือพูดคุยกับ ด.ต.แต่อย่างใด จึงไม่ทราบสาเหตุถึงข้อเท็จจริงในการโยกย้าย

ส่วนบทลงโทษแบ่ง 2 ส่วน ส่วนแรกคดีอาญา นายมานัส จำเลยที่ 1 ถูกแจ้งข้อหา แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานกระทำการและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยที่ตนไม่ได้มีอำนาจหน้าที่นั้น / ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย / ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ส่วน ด.ต.ภูวเมศร์ ถูกดำเนินคดีในข้อหา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต

ส่วนบทลงโทษทางวินัยตอนนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพร้อมกับให้ออกจากราชการไว้ก่อน นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการเรียกสอบผู้บังคับบัญาโดยตรงของ ด.ต. ตั้งแต่ระดับรอง สว. และสว. รวมทั้งตรวจสอบการเบิกรถไปปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของการเบิกจ่ายรถในการปฏิบัติหน้าที่ยังมีช่องโหว่ที่กองบัญชาการต้องไปหาแนวทางในการแก้ไข รวมไปถึงคณะกรรมการจะต้องสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์ครั้งนี้ โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อลดข้อครหาที่หลายคนเกรงว่าจะมีการช่วยเหลือในวงการสีกากี