หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยเดินมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่สะท้อนให้เห็นศักยภาพการบริหารจัดการแก้ปัญหาของคณะผู้มีอำนาจ
อารมณ์สังคมไทยตอนนี้ผู้คนค่อนประเทศกินไม่อิ่ม-นอนไม่หลับ-ไม่มีรายได้-โศกเศร้าจากการ สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก จากพิษโควิด
ในช่วงสถานการณ์เปราะบางพบ 2 ตัวแปรสำคัญที่พร้อมจุดชนวน ความขัดแย้งรอบใหม่ ในสังคมไทย
(1) ตัวแปรแรก เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันเดินหน้าให้หน่วยงานเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังคับใช้ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่ออกตาม มาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ
โดยอ้างเพื่อจัดการข่าวปลอมหรือ “เฟคนิวส์” (Fake News) ที่สร้างความปั่นป่วนในสังคมไทย
ข้อกำหนดฉบับที่ 29 ลอกมาจาก มาตรา 9 (3) พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เขียนแบบครอบจักรวาล “ห้ามการเสนอข่าวหรือการทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั่วราชอาณาจักร”
บรรยากาศสังคมไทยตอนนี้ คล้ายสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่พยายามควบคุมข้อมูลข่าวสาร โดยออกกฎเหล็กผ่านประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 (ปว.17)
ท้ายที่สุด ปว.17 สร้างแรงกดดันมหาศาลในสังคมก่อนเกิดเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ต.ค. 2516 และ 6 ต.ค. 2519
(2) ตัวแปรที่สอง เรื่องกลุ่มเยาวชนปลดแอกและภาคีเครือข่าย ประกาศชุมนุมใหญ่วันที่ 7 ส.ค. ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 14.00 น. เพื่อเคลื่อนขบวนไปพระบรมมหาราชวัง
โดยหวังมีแนวร่วมจากคนที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลเข้าร่วมจำนวนมาก!!
ขณะที่ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศจากหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เน้นย้ำเรื่อง ห้ามชุมนุม มั่วสุม ทั่วประเทศ โดยอ้างสถานการณ์ โควิด–19 หากฝ่าฝืนต้องรับโทษตามมาตรา 18 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การออกประกาศฉบับนี้ เพื่อเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจจะได้รับความคุ้มครอง ตาม มาตรา 17
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญาและทางวินัยหากปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการทำผิดตามกฎหมาย
นาทีนี้ ประเมินล่วงหน้าได้เลย วันที่ 7 ส.ค. หากม็อบ เคลื่อนขบวนไปสนามหลวง เกิดเหตุปะทะแน่นอน
อ้างอิงจากสถิติปี 2564 ม็อบพยายามเคลื่อนขบวนไปที่สนามหลวง 2 ครั้ง และเกิดเหตุปะทะทุกครั้ง (1) วันที่ 13 ก.พ. “ม็อบราษฎร” ปะทะตำรวจ ใกล้ศาลหลักเมือง ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บหลายคน (2) วันที่20 มี.ค. “ม็อบรีเดม” บุกรื้อลวดหนามเข้าสนามหลวง ตำรวจตอบโต้ด้วยการระดมยิงกระสุนยาง–ฉีดน้ำแรงดันสูง ขณะที่ม็อบจุดไฟเผากลางถนนราชดำเนิน
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ อยู่ในช่วงที่เปราะบาง อ่อนไหวอย่างมาก หลายตัวแปร กำลังเป็นไฟลามทุ่ง พร้อมเป็นระเบิด ทำลายล้าง สร้างความเสียหาย ชนิดที่ยากจะประเมิน.