ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว. พาณิชย์ เปิดเผยถึงประเด็นราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภค และการขอปรับขึ้นราคานมว่า ราคาผลปาล์มขึ้นไปสูงมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจากกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า ขึ้นเป็น 4-5 บาท/กก. และไปถึง 11-12 บาท/กก. ซึ่งเกษตรกรได้รับประโยชน์สูงมาก แต่ในช่วงปลายเดือนที่แล้วราคาผลปาล์มปรับลดลงเนื่องจากอินโดนิเซีย หันมาเร่งรัดการส่งออกอีกครั้งหนึ่ง มีผลทำให้ราคาในตลาดโลกปรับลดลง มีส่วนในการทำให้ราคาผลปาล์มปรับลดลงมาในช่วงนี้

อย่างไรก็ตาม คำถามที่ว่าทำไมราคาผลปาล์มลดลงมาแต่ราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภคยังสูงอยู่ ขอเรียนว่ากระทรวงพาณิชย์ติดตามตลอดราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภคยังทรงอยู่เพราะเป็นสต๊อกเดิมที่รับซื้อในช่วงที่ราคาผลปาล์มสูงมาก สกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มขวดในช่วงต้นทุนที่สูง แต่ตนสั่งการไปแล้วก่อนหน้านี้ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเร่งกำกับให้ปรับลดราคาน้ำมันปาล์มขวดบริโภคลงมาให้สอดคล้องกับต้นทุนให้เร็วที่สุด จะมีตัวเลขสต๊อกล่าสุดกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งจากการสำรวจล่าสุดในวันนี้ จะเห็นตัวเลขว่าสามารถปรับลดราคาได้เมื่อไหร่ คาดว่าเป็นในช่วงสัปดาห์นี้สอดคล้องกับต้นทุนใหม่ที่เกิดขึ้น

“ผมจะพยายามดูแลผลประโยชน์ของทุกฝ่ายให้ดีที่สุดไม่ต้องกังวล ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักเหมือนที่ตนพูดว่าเป็น “วิน-วินโมเดล” ดูแลทั้งเกษตรกร ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและผู้บริโภคให้อยู่ร่วมกันได้ให้เป็นภาระของแต่ละฝ่ายน้อยที่สุด ให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายให้ได้มากที่สุด”

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ส่วนการเสนอขอปรับขึ้นราคานมผงและนมพร้อมดื่มทั้งพาสเจอไรซ์และยูเอชที แต่กระทรวงพาณิชย์ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับราคาขึ้นพยายามตรึงไว้ให้นานที่สุด จนกว่าจะอั้นไม่อยู่จริงๆ เมื่อต้นทุนปรับสูงขึ้นจนผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตต่อได้ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาของขาด ถ้ามีของขาดจะมีความรู้สึกใหม่ตามมาคือ แพงหน่อยดีกว่าไม่มีของกินต้องพยายามดูให้สมดุลที่สุด รักษาประโยชน์ของทุกฝ่ายไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งได้ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและต้องดูด้วยเหตุด้วยผลแต่ละกรณี

หากส่วนไหนจำเป็น ต้นทุนสูงขึ้นมาจริง ต้องพิจารณาใช้เป็นกรณีไม่ใช่อนุมัติให้ปรับราคาทั้งหมดโดยไม่ดูว่าอันไหนสูงขึ้นจริงหรือสูงขึ้นไม่จริง หรือเป็นแค่ข้ออ้างว่าสูงขึ้นในภาพรวม ต้องยอมรับว่าขณะนี้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นจริงในภาพรวม ที่เราเห็นก็คือราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊สหุงต้ม ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและค่าขนส่งก็สูงขึ้นตามไปด้วย ต้องให้กระทบกับราคาขายปลีกไปยังผู้บริโภคน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  และสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังดีขึ้นในช่วงระยะหลังนี้