สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เดินทางถึงอิสราเอล เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมี นายยาอีร์ ลาพิด รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ


แม้ไบเดนเคยเยือนอิสราเอลมาแล้วครั้งหนึ่ง สมัยดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก เมื่อปี 2516 อย่างไรก็ตาม ภารกิจครั้งนี้นับเป็นการเยือนประเทศแห่งนี้อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐ เมื่อเดือนม.ค. 2564 ไบเดน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐ “ลึกซึ้งเข้ากระดูกดำ” เพราะเป็นความผูกพันจากรุ่นสู่รุ่น อิสราเอลและสหรัฐ “ลงทุนด้วยกันและมีความฝันด้วยกัน”

ประธานาธิบดีไอแซค เฮอร์ซอก ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายยาอีร์ ลาพิด รักษาการนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเดวิด เบนกูเรียน ชานกรุงเทลอาวีฟ


อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐย้ำจุดยืนของรัฐบาลวอชิงตัน ในการสนับสนุนการรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพ ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่ชะงักไปตั้งแต่ปี 2557 และเน้นว่าการที่ต่างฝ่ายต่างต้องยอมรับ “สถานะสองรัฐ” ถือเป็น “ทางออกเหมาะสมและดีที่สุด”

ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐใช้โอกาสในการเยือนอิสราเอลครั้งนี้ กล่าวถึงอิหร่านด้วยว่า รัฐบาลวอชิงตันมีความพร้อมเจรจากับอีกฝ่ายเสมอ เพื่อรักษาและปรับโครงสร้างของข้อตกลงนิวเคลียร์ ที่ลงนามร่วมกัน เมื่อปี 2558 พร้อมทั้งตำหนิการที่รัฐบาลชุดก่อนหน้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำสหรัฐออกจากข้อตกลงดังกล่าว เมื่อปี 2561 แล้วกลับมาเดินหน้าคว่ำบาตรรัฐบาลเตหะรานฝ่ายเดียว “คือความผิดพลาดมหันต์” และเป็นการปูทางสู่ “ความอันตรายยิ่งกว่า” นั่นคือการที่อิหร่าน “จะมีอาวุธนิวเคลียร์”

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวสุนทรพจน์ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเดวิด เบนกูเรียน ชานกรุงเทลอาวีฟ


อย่างไรก็ตาม ไบเดนยืนยันว่า การใช้มาตรการทางทหารต่ออิหร่าน “คือหนทางสุดท้าย” และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “จะไม่เกิดขึ้น” ขณะที่ นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านนโยบายความมั่นคงประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐบอก “ข้อเสนอทั้งหมด” ให้อิหร่านรับทราบไปนานแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลเตหะรานว่า จะยอมรับหรือปฏิเสธ.

เครดิตภาพ : REUTERS