เมื่อวันที่ 14 ก.ค. จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วิสามัญผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ในข้อหา ในข้อหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี, พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ต่อมามีผู้เสียหายเข้ามาโวยวายกับเจ้าที่ตำรวจว่า รถยนต์อเนกประสงค์อีซุซุป้ายแดง ถูกอาวุธปืนยิงเข้าประตูด้านฝั่งคนนั่งข้างคนขับจนหัวกระสุนทะลุเข้าไปคาอยู่ที่ตัวรถด้านใน หากกระสุนทะลุเข้าไปหรือวิถีกระสุนเคลื่อนอีก 6 ซม. ต้องถูกศีรษะคนนั่งมาด้านข้างคนขับ

นายโทน อายุ 26 ปี เผยว่า ตนเองพร้อมเพื่อนนั่งมาด้วยกัน 3 คน กลับจากการทำบุญที่ จ.นครปฐม อยู่ระหว่างเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ช่วงที่ผ่านที่เกิดเหตุได้ยินเสียงดังที่ข้างรถ คิดว่าโดนหินหรือว่ามีอะไรกระเด็นมาถูกไม่กล้าจอดรถจึงขับรถต่อ ไปหาที่ปลอดภัยดูพบว่ารถโดนยิง จึงโทรฯแจ้งตำรวจจนทราบว่าเป็นพื้นที่ของ สภ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จึงขับรถย้อนกลับมาที่เกิดเหตุ ตอนแรกยังไม่ทราบว่ามีการวิสามัญคนร้าย กระทั่งมาทราบจากชาวบ้านที่มาดูเหตุการณ์ว่ามีการวิสามัญคนร้ายที่อยู่ภายในปั๊ม ตกใจมาก และทราบว่ามีการใช้อาวุธปืนยิงจำนวนหลายนัด

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า กระสุนปืนที่ถูกยิงไม่ทราบว่าเป็นของผู้เสียชีวิตหรือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องทำการผ่าหัวกระสุนออกจากรถของตนเอง แต่ตนไม่ยอมเพราะเนื่องจากรถเพิ่งออกมาใหม่และถ้าผ่าพิสูจน์ตนเองจะต้องเสียเวลา เพราะต้องใช้รถทำงานเสียรายได้ไม่คุ้ม หากเป็นของคนตายตนเองก็อาจจะไม่เรียกค่าเสียเวลาก็ได้ แต่หากเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องมีการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยที่ตนเองขาดรายได้ไป รถเสียหายตนเองมีประกันทางประกันชดใช้ความเสียหายของรถอยู่แล้ว แต่ค่าเสียเวลาที่ต้องเอารถไปผ่าเอาหัวกระสุนออก ช่วงเวลาที่ซ่อมรถไม่มีรถใช้ ขาดรายได้ใครจะรับผิดชอบ

แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองมองว่า ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงต่ำกว่าอายุ 15 ปี ทางเจ้าหน้าตำรวจไม่น่าถึงจะขั้นต้องวิสามัญผู้ต้องหา และในจุดที่ตำรวจยิงเป็นจุดชุมชนเสี่ยงต่อให้ประชาชนถูกลูกหลง ซึ่งยังถือว่าโชคดีที่ตนเองหรือเพื่อนที่นั่งมาในรถไม่ถูกกระสุนปืนและถ้าเป็นรถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านมาอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างตนก็เป็นได้