เมื่อเวลา 09.25 น. วันที่ 19 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 11 คน ตามที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้าน พร้อม ส.ส.รวม 186 คน เข้าชื่อเสนอญัตติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ภายใต้ ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ ครม. เข้าร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีอย่างพร้อมเพรียง พร้อมทั้ง ส.ส.รัฐบาล ฝ่ายค้าน ต่างร่วมประชุมอย่างคึกคัก

จากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ชี้แจงรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 19 ก.ค. มีจำนวน 5 คน เริ่มต้นที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

จากนั้นเวลา 09.40 น. นพ.ชลน่านแถลงญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้พวกพ้องและบุคคลแวดล้อมของตนเองกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง ไม่ใส่ใจที่จะป้องกันและปราบปราม มีการใช้เงินและการต่อรองผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง อันเป็นการทำลายระบบรัฐสภาและหลักการประชาธิปไตย จนทำให้ระบบรัฐสภาตกต่ำสั่นคลอนและกลไกในระบบรัฐสภาเสียหาย ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศ เป็นต้นตอให้ปัญหาขยายวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทุจริต เป็นผู้นำพิการทางความคิด ยึดติดแต่อำนาจ สร้างความเสียหายร้ายแรงให้ประเทศ ปล่อยให้พวกพ้องแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ร้อนประชาชน ไม่ใส่ใจปราบทุจริต ใช้เงินและต่อรองเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง ทำลายระบบรัฐสภาตกต่ำสั่นคลอน หากให้บริหารประเทศต่อ ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายจนยากจะแก้ไขได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์มีภาวะผู้นำต้องประกาศความผิดพลาด ตนเองไม่มีความรู้ความสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชน แต่ไม่มีทางเกิดขึ้น จึงถึงเวลาต้อง “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” ไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้องบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ต้องตัดวงจนเห็บ เหา ปรสิต ที่สูบเลือดประชาชนออกไป

ซัด “นายกฯ” ทำชาติวิกฤติ 6 ด้าน

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า การอภิปรายครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงความบกพร่อง 6 ด้าน 1.บกพร่องด้านความเป็นผู้นำ เป็นผู้นำไร้ความสามารถ ลวงโลก บุคลิกภาพมีปัญหาทั้งกับตัวเอง ครอบครัว และประชาชน ถ้าพล.อ.ประยุทธ์เป็นแบรนด์สินค้าหนึ่ง ถ้าได้ฟังฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เชื่อว่าประชาชนจะไม่ใช้สินค้ายี่ห้อนี้อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำไร้ความชอบธรรมตั้งแต่เข้าสู่อำนาจ และการใช้อำนาจยังขาดความชอบธรรม ทั้งยังไม่สามารถหารายได้ให้ประชาชนและประเทศ ทำไม่เป็น อีกทั้งยังเป็นผู้นำไร้วิสัยทัศน์ หลายสถานการณ์บ่งชี้เช่นนั้น ผลจากการบริหารแผ่นดินชี้ให้เห็นถึงภาพรวม แต่ที่ชัดเจน คือ บังอาจตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจประเทศ

2.เศรษฐกิจพังพินาศ ล้มเหลว จนทั้งแผ่นดิน ทุกข์ เครียดทั้งแผ่นดิน ของแพง หนี้สินท่วมหัว นำมาซึ่งความสิ้นหวังของประชาชน รัฐบาลชุดนี้ คือรัฐบาล 608 ไร้ความรู้ไร้ความสามารถ ทนต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มิหนำซ้ำอมโรคป่วย กู้เกือบเต็มเพดานทุกปี กลุ่มทุนเติบโต แต่ประชาชนร้อยละ 99 จนลง มีการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนและพวกพ้องแต่คนรับกรรมคือประชาชน ใกล้เลือกตั้งจัดงบประมาณกระจุกตัว โดยเฉพาะถนน และแหล่งน้ำ งบพัฒนาแหล่งน้ำในภาคใต้ ภาคอีสาน 3.สังคมพินาศพังทลาย สร้างความแตกแยก แบ่งฝักฝ่าย ยาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ดูแลลูกหลาน ถามว่าเอื้อประโยชน์ให้ใคร ปล่อยให้มีนโยบายสุ่มเสี่ยง อย่างนโยบายกัญชาเสรี เป็นผู้นำยิ่งใหญ่ แต่ถูกบีบคอ เรียกค่าไถ่ได้ตลอดเวลา ประเทศอุดมไปด้วยยาเสพติด แล้วบ้านเมืองจะพัฒนาได้อย่างไร 4.ความพินาศด้านสาธารณสุข ล้มเหลวแก้วิกฤติโควิด-19 สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

ทำลายระบบรัฐสภา สถาปนา “สภากล้วย” ใช้เงินแลกโหวต

5.ความพินาศด้านการเมือง ระบบรัฐสภาถูกทำลายย่อยยับ เป็นระบบที่สถาปนา “สภากล้วย” ขึ้นมา มีการใช้เงินแลกเสียงโหวตทุกครั้งที่มีการลงมติที่สำคัญๆ การโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจโดนตีแพร่ 3 ป. ขอเท่าไหร่ พรรคร่วมรัฐบาลเท่าไหร่ ตัวเลขอยู่ที่หลักล้าน ภาษาชาวบ้านเรียก 3 อย่างบาท 3 คนล้าน เป็นไปได้อย่างไร นายกฯจงใจเป็นปฏิปักษ์ทำลายระบบรัฐสภา และการเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรื่องนี้ถึงศาลแน่นอนกับพฤติการณ์ที่ทำอยู่

ซัดสุดอัปยศพังระบบรัฐสภาสูตร 500 หาร

“เรื่องนี้น่าอัปยศอดสูที่สุด เราแบ่งแยกอำนาจการปกครอง เราจะไม่ก้าวล่วงหน้าที่ซึ่งกันและกัน ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมาย ลงมติ ท่านไม่มีสิทธิก้าวล่วงสั่งการตามที่ท่านต้องการได้ ทำลายหลักการพื้นฐานการปกครอง เป็นความผิดที่ร้ายแรง เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง ครอบงำชี้นำพรรคการเมืองที่สมยอมเป็นไปได้อย่างไร เปลี่ยนระบบเลือกตั้งมาเป็นแบบคู่ขนาน แต่ก่อนคืนวันสุดท้ายยังเป็นหาร 100 พอเช้าอีกวัน สั่งการจากทำเนียบรัฐบาล ให้หาร 500 เข้าใจว่าเป็นความต้องการของท่าน เพื่อทำลายพรรคคู่แข่ง ตามเจตนารมณ์ที่ยึดอำนาจเข้ามาไม่เสียของ ทำลายพรรคเพราะคิดว่าเป็นของคนคนเดียวคนนั้น จับหนูตัวเดียวเผาบ้านตัวเอง พังพินาศหมด ที่สำคัญเป็นไปตามคำร้องขอของ ส.ส.ในสภาแห่งนี้ แม้จะขัดใจพี่ใหญ่ของท่าน เราสร้างแม่เป็นวัว แต่มีใครคนหนึ่งแอบไปผสมพันธุ์ ลูกหรือกฎหมายลูกมันจึงออกมาเป็นควาย ใช้วิธีแบบนี้พรรคเล็กพรรคน้อยตายหมด ยกเว้นพรรคที่มีคะแนนนิยมที่จะรอด แต่รอดในสัดส่วนที่น้อย ยังมีเวลาไปใช้ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่สามารถทักท้วงมายังรัฐสภาได้ ว่าแก้ไขกฎหมายลูก มาตรา 23 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อไปว่า 6.คอร์รัปชั่นจนประเทศพังพินาศ เป็นยุคทุจริตเฟื่องฟู ติดอันดับความโปร่งใสประเทศตกต่ำสุดรอบ 10 ปี เป็นรัฐบาลที่หาเงินจากภาษีประชาชนให้ตัวเองเพื่อไปใช้ประโยชน์การเลือกตั้ง กว้านซื้อ ส.ส. อย่างไรก็ตามตนหวังลึกๆ มติสภาจะสร้างปาฏิหาริย์ ให้แตกต่างจากระบบเสียงข้างมากในอดีต ที่ฝ่ายเสียงข้างมากรอสัญญาณให้โหวต แต่ครั้งนี้จะมีปาฏิหาริย์ ใครบางคนโดนสอย นั่งร้านจะถูกสอย แม้จะไม่ถูกสอย การเปิดโปงทุจริตคอร์รัปชั่น เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะบ่งชี้บอกไปยังประชาชนถึงเวลาต้องตัดสิน เสียงในสภาไม่ชนะศรัทธาของประชาชน

ออกเถอะ!! อย่าอยู่เป็น 608 ทำลายประเทศ

“ผมเชื่อมั่นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะคนที่ดูถูกอำนาจประชาชน จะถูกสั่งสอนในสนามเลือกตั้ง ท่านไม่ตายในสภา ใส่รถฉุกเฉินยังรักษาชีวิตได้ แต่ตายในสนามเลือกตั้งแน่นอน ฝาก ส.ส.ที่มาจากประชาชน ต้องคำนึงถึงความต้องการประชาชน และหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรไปจากสภาแห่งนี้ได้แล้ว อย่าอยู่เป็น 608 ทำลายประเทศต่อไป” นพ.ชลน่าน กล่าว