เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เวลา 11.25 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระด่วน ญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน ในวันแรก

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) อภิปรายว่าตนขอใช้สิทธิกล่าวหานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข (สธ.) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เนื่องจากร่วมกันกำหนดนโยบายให้มีกัญชาเสรี นำมาซึ่งเกิดการละเมิดกติกาโลก กฎหมายประเทศ รัฐธรรมนูญ และมติรัฐสภาไทย รวมทั้งยังละเลยละเว้นไม่ออกมาตรการควบคุมกัญชาในสิ่งที่ควรจะมีและควรจะเป็น นำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติ หากกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด จะผิดไปทุกเม็ด นายกฯเองก็ปฏิเสธไม่ได้ นโยบายนี้เป็นเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาล นายกฯจึงจำยอมเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อมา

นายสุทิน อภิปรายว่าไทยมีข้อผูกพันในอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ 1961 เป็นอนุสัญญาเดี่ยวที่ไปลงนามด้วยความสมัครใจ มีสถานะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ทุกประเทศที่ลงนามต้องกลับไปปรับกฎหมายในประเทศให้สัมพันธ์สอดคล้องกับอนุสัญญานี้ทันที แต่เมื่อรู้ว่ากัญชามีประโยชน์ก็เรียกร้องใช้ทางการแพทย์ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าใจผิดว่าปี 2020 เรื่องการย้ายกัญชาจากประเภทที่ 4 ไปอยู่ประเภทที่ 1 คือเป็นประเภทยาเสพติดร้ายแรง แต่อนุโลมให้ใช้ทางการแพทย์และวิจัยเท่านั้น จะมาสูบ เสพ ขายตามถนนไม่ได้ เพราะถือเป็นการสันทนาการ และมีกฎหมายอื่นควบคุมอีกหลายมาตรา แต่เมื่อไทยมีการปรับในปี 63 ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐสภาไทยเห็นดีเห็นงามปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติดนั้นไม่ใช่ ที่จริงรัฐสภาไม่ได้ปลด แต่คนปลดคือรัฐบาลและ สธ. จนมีผลทำให้วันที่ 9 มิ.ย. 65 กัญชาถูกปลดปล่อยไม่เป็นยาเสพติด

ท่านละเมิดกติกาโลก เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติด ส่วนมติของสภาฯ คือให้ สธ.ไปพิจารณาหากจะเพิกถอนใดๆ ให้เป็นประกาศ สธ. ดังนั้นอย่ามาโยนความผิดให้สภาฯ ส่วนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชงที่เรายกมือทั้งสภาฯนั้น เพราะท่านปลดล็อกแล้วแต่ไม่มีอะไรควบคุม เราก็เรียกร้องให้มีกฎหมายควบคุม ไม่มีทางเลือกก็ต้องยกมือให้ วันนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในชั้น กมธ. พวกตนก็ตามตลอด วันนี้ สธ.เลยเถิดไปถึงอุตสาหกรรมและสันทนาการ ที่ผ่านมาหลายคนท้วงติงมาตลอดแต่น้ำท่วมปากเขา เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตนขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าเรื่องอนุสัญญาดังกล่าวจะทำอย่างไร ที่ต้องดันให้เสร็จเพราะกลัวพรรคร่วมถอนตัวหรือไม่

นายสุทิน อภิปรายด้วยว่า มีข่าวลือว่ามีนักการเมืองใหญ่ข้ามไปทำไร่กัญชาที่ประเทศลาว มีบริษัทยักษ์ใหญ่วางระบบธุรกิจไว้หมด มีการวางแผนไว้ก่อนทำ มีบริษักยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่นแอบมาตกลงกับนักการเมืองไทยด้วย มีข่าวเครือซิโน-ไทย ลุยธุรกิจกัญชง ตนก็เข้าไปดูว่าใช่หรือไม่ พบว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอย เพราะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ คนถือหุ้นเยอะคือครอบครัวชาญวีรกูล แต่รัฐมนตรีเขาก็แสดงทรัพย์สินแล้วว่าโอนหุ้นไปหมดแล้ว ส่วนจะบริหารทางอ้อมอย่างไรไม่รู้ ที่ตนพูดมาทั้งหมดหากนายกฯ ไม่เห็นด้วยให้ทำเรื่องกัญชาเสรีก็ไม่สำเร็จ

“ธุรกิจเหล่านี้เชื่อมโยงกัญชงกัญชาอย่างไร รัฐบาลแจกกล้าต้นกัญชา ผมและพรรคเพื่อไทยไม่ได้คัดค้าน นโยบายไม่มีปัญหา ต้องอยู่ในกรอบการแพทย์และวิจัย เราสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ โดยเอาคงไว้ในบัญชียาเสพติด ส่วนวิสาหกิจชุมชนต้องทำโรงเรือน ขอให้ศึกษาดีๆ ก่อนเดินหน้า เพื่อความปลอดภัย ผมจึงขอไม่ไว้วางใจให้นายอนุทิน และนายกฯ อยู่บริหารประเทศชาติต่อไป เพราะแค่นี้ก็ขนหัวลุกแล้ว และยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ถามว่านายกฯ ไปไหน เรื่องที่พูดนี้ใหม่หมด จะปล่อยนายอนุทินนั่งฟังคนเดียวไม่ได้ ขอให้คิดกันให้ถ้วน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งนายสุทิน ได้เปิดคลิปวิดีโอขณะที่นายอนุทิน กล่าวปราศรัยหาเสียงเมื่อวันที่ 19 มี.ค.62 ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถึงเรื่องนโยบายกัญชาเสรีว่า “เราจะเปลี่ยนงบลับต่างๆ ให้เป็นงบลงทุน จะเปลี่ยนเสียงปืน เป็นเสียงเครื่องจักรและเสียงหัวเราะของทุกคน ที่พรรค ภท. จะให้พ่อแม่พี่น้องปลูกกัญชาเป็นยาพารวย เป็นยารักษาโรค พรรค ภท.ยืนยันว่า วันนี้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป ปลูกได้บ้านละ 6 ต้น เมื่อปลูกแล้วสามารถนำไปขาย ปรุงอาหาร รักษาโรค และพี้สูบกันเองได้ แต่อย่าพกพาไปที่อื่นเด็ดขาด” พร้อมทั้งเปิดภาพประชาชนกำลังสูบกัญชาจากบ้องอย่างเสรี