เมื่อวันที่ 19 ก.ค. เวลา 15.50 น. ที่รัฐสภา นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ (ปช.) อภิปรายในส่วนของกระทรวงคมนาคม โดยตอกย้ำถึงการครอบครองที่ดินเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่ 5,083 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าหลังจากการอภิปรายเดือน ก.ย.64 ตนติดตามว่าที่ดินเขากระโดง มีการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายเพียงใด แต่ปรากฏว่าการดำเนินการยังไม่สะเด็ดน้ำ เหมือนง้างธนูไม่สุด วันนี้รัฐมนตรีและพวกพ้องยังคงทำธุรกิจ พักอาศัยอยู่ตรงนี้ไม่ได้ออกไปไหน ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.64 รฟท.ซึ่งกำกับดูแลโดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีหนังสือถึงกรมที่ดิน ให้ทำการเพิกถอนโฉนดที่ดิน ปรากฏว่าวันที่ 27 ก.ค.64 กรมที่ดินมีหนังสือตอบมาว่า การเพิกถอนโฉนดที่ดิน ทางกรมที่ดินจะดำเนินการได้ต้องมีรูประวางแผนที่ส่งให้กรมที่ดิน พร้อมมีคำถามไปยัง รฟท.ว่าที่ดิน 2 แปลง ซึ่งเป็นภูมิลำเนา 30/2 หมู่ 15 ที่รัฐมนตรีแจ้งอยู่บนที่ดินแปลงนี้ ซึ่งที่ดิน 2 แปลงนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาปี 41 เคยวินิจฉัยว่าเป็นที่ รฟท. ปี 54 คณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยวินิจฉัยให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ก็วินิจฉัยให้ รฟท.ฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ 

กรมที่ดินบอกว่าสามารถเพิกถอนที่ดินเอกสารสิทธิได้ แต่มีกระบวนการที่ต้องให้ รฟท.ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต้องให้ความร่วมมือโดยส่งรูประวางแผนที่ไปให้ ซึ่ง รฟท.ส่งไปให้กรมที่ดิน 2 ครั้ง แต่ทั้ง 2 รูประวางที่ส่งไปมีเนื้อที่ไม่ครบ อีกทั้งรูประวางปี 31 กับปี 39 ไม่ตรงกัน ตนไม่ทราบว่า รฟท.ที่รัฐมนตรีกำกับดูแล เจตนาส่งให้กรมที่ดินไม่ครบ หรือต้องการให้มีความล่าช้าทางเทคนิคหรือไม่ อย่างไร จะได้ให้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิช้ากว่าปกติ โดยกรมที่ดินมีหนังสือวันที่ 12 พ.ย.64 เมื่อรูประวางไม่ตรงกับกรมที่ดิน ก็ขอให้ รฟท.จัดส่งผู้แทนไม่เกิน 6 คน เข้าเป็นคณะทำงาน 2 ชุด แต่กลับไม่มีการส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการ แถมยังไปฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครองเมื่อเดือน ธ.ค.64 ซึ่งการฟ้องต่อศาลปกครองใช้เวลานาน การที่ท่านฟ้องศาลปกครอง โดยไม่ส่งคณะกรรมการ 2 ชุด ส่อเจตนาว่าท่านกำลังปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องให้นานที่สุด โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย แต่ท่านอย่าลืมว่ามีประมวลจริยธรรมคุ้มครองอยู่    

นายกมลศักดิ์ กล่าวต่อว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 3564 อัยการบอกให้เพิกถอน ท่านก็ไม่ดำเนินการ จนทุกวันนี้ท่านยังคงใช้ภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น และเป็นที่ตั้งของหจก.อีกหลายบริษัทในบริเวณนี้ ถ้าตรวจสอบที่กรมการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่าบริษัทต่างๆเกี่ยวข้องกับท่านทั้งนั้น โดยเฉพาะบริษัท ศ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3466 ก็ตั้งอยู่ที่นั่น รวมถึง หจก.บ. จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ศ. บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4.7 ล้านบาท ส่วน หจก.บ. บริจาค 4.8 ล้านบาท นี่คือความเกี่ยวโยงกันระหว่างรัฐมนตรีกับพวกพ้อง เพราะเช่นนี้หรือไม่ท่านจึงไม่ดำเนินการเพิกถอน อีกคดีที่น่าสนใจคือคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินของนายเอ จำเลยในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาปี 61 แต่สังเกตว่าทำไมไม่มีการบังคับคดี พอไปตรวจสอบข้อมูลยิ่งเห็นชัดว่านายเอ มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการใดๆ กับที่ดินแปลงนี้ ในการฟ้องขับไล่ แตกต่างจากคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี คดีของนายเอที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ตั้งแต่ปี 61 รัฐมนตรีมารับตำแหน่งปี 62 จนถึงปีนี้ 65 เพิ่งจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อเดือน มิ.ย.65 ก่อนการอภิปรายจึงเหมือนแค่ขยับให้เห็น

“นายเอ สมัยปี 61 ก่อนที่นายศักดิ์สยามจะมาเป็นรัฐมนตรี เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.บ. ใช้ที่อยู่ที่เดียวกันกับรัฐมนตรีในปัจจุบัน ปรากฏว่าวันที่ 26 ม.ค.61 รัฐมนตรีถอนหุ้น ก่อนโอนหุ้นทั้งหมด 119 ล้านบาท ให้กับนายเอ ให้นายเอเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ปัจจุบันหจก.นี้ยังอยู่ที่นี่ แสดงให้เห็นว่ารัฐมนตรีกับจำเลยในคดีที่ รฟท.ต้องขยับเป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้นายเอยังบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 2.7 ล้านบาท และ หจก.บ. โอนหุ้นไปให้บริจาคเงินให้พรรคท่านอีก 4.8 ล้านบาท มาถือว่าเป็นพวกเดียวกันจะให้เข้าใจว่าอย่างไร อีกทั้งตามบัญชีงบดุลปี 60 บริษัท ศ. ได้ยืมเงินจากนายเอ 120 ล้านบาท ปี 61 ยืมอีก 221 ล้านบาท ต่อมาปี 62 บริษัท ศ. ยังกู้ยืมเงินจากนายเอ 143 ล้านบาท ปี 63 ยืมอีก 152 ล้านบาท ผมไม่ได้พูดลอยๆ แต่มีเอกสารงบดุลของบริษัท ศ.”

นายกมลศักดิ์ กล่าวด้วยว่า นายเอคนนี้ตนไปตรวจสอบมาแล้ว ปรากฏว่าก่อนที่รัฐมนตรีจะออกจาก หจก.บ. นายเอมีหลักฐานเพียงว่าเป็นพนักงานของ บริษัท ศ. เท่านั้น เดิมทีเป็นแค่พนักงาน แต่ไม่ทราบว่าร่ำรวยมาจากไหนถึงมีเงินให้บริษัท ศ. ซึ่งกรรมการผู้จัดการคือ นาย อ. นามสกุลเดียวกับรัฐมนตรี สิ่งเหลานี้ตนจึงไม่อยากมองเป็นอย่างอื่น รมว.คมนาคม ที่มีหน้าที่กำกับดูแล รฟท. ต้องทวงสิทธิเอาที่ดินของ รฟท.คืนโดยเร็ว แต่ทำไมท่านไม่เลือกวิธีที่เร็วที่สุด คือให้กรมที่ดินเพิกถอน แต่กลับใช้วิธีที่ยืดเยื้อที่สุด ซึ่งนายกฯ ปล่อยปละละเลยให้หน่วยงานของรัฐฟ้องร้องค่าเสียหายกันเอง ดังนั้นขอให้ท่านเลิกใช้แทคติก แต่ขอให้ความจริงใจกับทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน โดยท่านต้องแสดงสปิริตให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าท่านก็อยู่ในมาตรฐานจริยธรรม ท่านต้องรีบเอาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินคืน ปล่อยไว้แบบนี้ยิ่งกว่าที่ท่านเคยกล่าวหาพี่น้องใน 3 จังหวัดว่าต้องการแบ่งแยกดินแดง นี่คือการเอาแผ่นดินของประเทศมาเป็นของตัวเองโดยใช้กฎหมายอย่างแยบยล นายกฯในฐานะผู้นำรัฐบาลจะอ้างว่าไม่เกี่ยวไม่ได้ ทั้งหมดนี้ ตนมองได้อย่างเดียวว่าท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รักษาผลประโยชน์พวกพ้องตัวเองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ จึงไม่อาจไว้วางใจ รมว.คมนาคม และนายกฯ ให้บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป

ทางด้าน นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยามต่อไปว่า นายศักดิ์สยาม ปกปิดทรัพย์สินของตัวเองในส่วนที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ โดยบริษัทบุรีเจริญฯ ก่อตั้งในปี 39 โดยมีตระกูลชิดชอบ ถือหุ้น 80% และที่ตั้งสำนักงานคือบ้านของนายศักดิ์สยามในขณะนั้น เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ก็ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น หจก. นี้ทั้งหมด และย้ายสำนักงานไปที่อื่น พอยุค คสช. นายศักดิ์สยามกลับมาเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัทดังกล่าวในปี 58 โดยเพิ่มทุนเป็น 120 ล้านบาท และย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง จนเมื่อปี 61 ที่มีข่าวการเลือกตั้ง นายศักดิ์สยามก็โอนหุ้นทั้งหมดไปให้นอมินีในวันรุ่งขึ้นทันที และย้ายที่ตั้งสำนักงานบุรีเจริญออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน 

นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อคนถือหุ้นให้ลูกจ้างมาเป็นนอมินี หรือมีการซื้อขายหุ้นจริง เพราะไม่พบหลักฐานว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นเลย หากมีการซื้อขายกันจริง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายต่ำกว่า สูงกว่าราคาทุนที่ 120 ล้านบาท นายศักดิ์สยาม หรือผู้ถือหุ้นคนใหม่ ก็จำเป็นต้องยื่นมูลค่าหุ้นส่วนเกินเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี หรือหากซื้อขายเท่าราคาทุน นายศักดิ์สยาม ก็ต้องระบุเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แต่ก็ไม่ปรากฏเงินก้อนนี้ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ป.ป.ช. ในปี 62 
 

“ในปี 62 ท่านยื่นทรัพย์สินในการเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ว่ามีทรัพย์สิน 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ประมาณ 76 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นๆ เกือบทั้งหมดระบุว่าได้มาก่อนปี 61 แทบทั้งสิ้น คำถามคือเงิน 120 ล้านบาทก้อนนี้หายไปไหน”

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า นอกจากจะซุกหุ้นแล้วนายศักดิ์สยาม ยังนำ หจก.บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลายงานมีความผิดปกติ คือ ราคาที่ชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3% และมีคู่เทียบเพียงรายเดียว ซึ่งเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 62 แบบนี้เอาไปให้ใครดู เขาก็ว่าฮั้ว ชัดขนาดนี้ เอาธุรกิจตัวเองเข้ามารับงานกระทรวงที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรีก็ว่าผิดแล้ว ยังมีพฤติกรรมที่เป็นการฮั้วประมูลอย่างชัดเจน 

ขอตั้งข้อสังเกตว่านอมินีคนนี้แจ้งข้อมูลรายได้น้อยมากจนน่าสงสัย ทั้งที่เขาสามารถซื้อต่อที่ดินในพื้นที่พิพาทเขากระโดง ต่อจากบิดาของนายศักดิ์สยาม และซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญ ทั้งหมดมาจากนายศักดิ์สยามได้ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คนนี้เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่มีสถานะทิ้งร้างไป 3 แห่ง ส่วนอีกแห่งที่เหลือไม่มีรายได้เลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลจากประกันสังคมและกรมสรรพากรในช่วงปี 58-63 ยังพบว่า เขาแสดงรายได้เพียงปีละประมาณ 1 แสนบาท หรือเดือนละ 9,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินเดือนที่ได้รับจาก บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) ธุรกิจครอบครัวของตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2558 ไล่เลี่ยกับช่วงที่นายศักดิ์สยาม เป็นกรรมการบริษัท ศิลาชัย 

นอกจากนี้งบดุลของบริษัทศิลาชัยในปี 61-62 ยังระบุว่า ลูกจ้างคนนี้กลายมาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ระยะยาว 221.5 ล้านบาท ของบริษัท จนปี 64 สรุปสุดท้าย บริษัทนี้เป็นหนี้ลูกจ้างอยู่ 250.2 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทศิลาชัยจะขาดทุนและติดหนี้ก้อนโตกับคนนี้ ในปี 62 บริษัทศิลาชัยยังบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยไป 4.7 ล้าน และบริจาคให้พรรคไปอีก 2.77 ล้านบาท พร้อมกับให้ หจก.บุรีเจริญ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของบริจาคให้พรรคไป 4.8 ล้านบาท และในปี 63-64 ยังให้บริษัทศิลาชัย กู้เพิ่มอีก 100 กว่าล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการกู้เงินไม่มีสัญญา ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ 
 

“ถ้าเราลองเปลี่ยนชื่อ พฤติการณ์นี้ทั้งหมดจาก นายเอ เป็น นายศักดิ์สยาม และบริษัทศิลาชัยเป็นเหมือนกงสี ทุกอย่างดูเรียบง่าย ตัวเลขกำไรขาดทุนก็อาจไม่สำคัญมากนัก ถึงบริษัทจะขาดทุนและเป็นหนี้อยู่เป็นร้อยล้าน แต่เป็นหนี้คนในครอบครัว เอาเงินไปบริจาคให้พรรคการเมืองตัวเองก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร” ปกรณ์วุฒิ กล่าว