ผ่านไปแล้วสำหรับ “ศึกซักฟอก” ครั้งสุดท้ายของ “รัฐบาลเรือเหล็ก” ท่ามกลางอุณหภูมิทางการเมืองที่ร้อนฉ่า จากยุทธการ “เด็ดหัวสอยนั่งร้าน” ของพรรคฝ่ายค้าน ที่ถูกตอบโต้ด้วยยุทธการพยัคฆ์ร้าย 008 รัฐมนตรี NO TIME TO DIE ของฝ่ายรัฐบาล

สะท้อนภาพ “สงครามน้ำลาย” ที่เปรอะไปทั้งห้องประชุมสภา จากวาทกรรมของแต่ละฝ่ายที่งัดออกมาซดกันแบบไม่มีใครยอมใคร จนเรียกได้ว่า “ฟัดกันเต็มสภา-ฟาดกันข้ามประเทศ” ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ฟาดฝ่ายค้านเป็น “นั่งร้านหัวขาด” ตีชิ่งไปไกลถึงดูไบ จนทำเอาคนพรรคเพื่อไทย ออกมาสวนหมัดให้วุ่น ถึงขั้นเย้ยว่าแค่เห็นแคนดิเดตเพื่อไทยก็หัวหด ขณะที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ก็แรงไม่แผ่วโต้เดือดเรื่องวัคซีนโควิด-19 “ขี้หมากองเดียว” ทำเอาเดือดไปถึง “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ต้องออกมาโต้กลับว่ากันแบบถึงพริกถึงขิง! ขณะที่นอกห้องประชุมก็คึกคักไม่แพ้กัน ทั้งการล็อบบี้เสียงโหวต การแจกกล้วยจนล้นสภา

แม้ผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา รัฐบาลจะสามารถเอาตัวรอดไปได้ ขณะที่หัวใจหลักของรัฐบาลอย่าง “พี่น้อง 3 ป.” ยังคง NO TIME TO DIE ในเวทีการเมือง แต่สงครามครั้งสุดท้าย…ยังไม่จบ ทั้งนี้ก็คงจะต้องรอดูเอฟเฟกต์กันต่อไป ทั้งเรื่องการต่อยอดการอภิปรายไปนอกสภา ซึ่งฝ่ายค้านหมายหัวยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. สอบรัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในฝั่งรัฐบาลเอง เพราะยังมีโอกาสที่รัฐมนตรีบางคน จะร่วงตกเก้าอี้ด้วยเกมการเมืองในแต่ละพรรค ขณะที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายคน เริ่มฟิตซ้อมเตรียมความพร้อมเป็นรัฐมนตรีให้เห็นบ้างแล้ว

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องอยู่ที่ “บิ๊กตู่” จะเลือกปรับ ครม. เพื่อ “พลิกเกม” ดึงคนดี-เด่น-ดัง มาช่วยทำให้คนไทยกลับมามีความหวังกับรัฐบาลชุดนี้ได้อีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของวาระของรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะจะเป็นจุดชี้ขาดเรื่องเรตติ้งของ “บิ๊กตู่-พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บริบทการเมืองในอนาคต ก็ยังมี 3 ขยักสำคัญที่ต้องลุ้นระทึก ทั้ง ขยักแรก-กฎหมายลูก/กติกาเลือกตั้ง ที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ท้ายที่สุดแล้วจะใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบหาร 100 หรือหาร 500 แม้เบื้องต้นสูตรหาร 500 จะได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากของรัฐสภาไปแล้ว แต่กระบวนการยังไม่จบ ทั้งในชั้นการพิจารณาในสภาเอง หรือในชั้นการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่อาจจะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ เองก็อาจจะมีการ “กลับลำ” สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อกันอีกรอบ! จากท่าทีของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่พูดชัดว่าสูตรหาร 500 น่าจะอยู่ไม่ได้ และจะมีปัญหาตามมาทีหลัง เพราะย้อนแย้งกัน และได้มีการพูดคุยกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และสมาชิกพรรคก้าวไกลบางคน ซึ่งเริ่มเห็นคล้อยตามกันแล้ว

ส่วน ขยักสอง-วาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ “บิ๊กตู่” ที่จะกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.นี้ โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องชี้ขาดปัญหาทางกฎหมายว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ “บิ๊กตู่” นับตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งหากท้ายที่สุดมีข้อสรุปว่าเริ่มนับตั้งแต่ปี 2557 ก็จะเป็นอันว่าต้องมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ กันโดยปริยาย ซึ่งจุดนี้อาจจะส่งผลทำให้พรรคร่วมรัฐบาลออกอาการระส่ำระสายได้ ในการหาคนมานั่งตำแหน่งนายกฯแทน “บิ๊กตู่” ว่าจะเป็นคนในบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอ หรือจะหักดิบเลือกคนนอก

สุดท้าย ขยักสามการเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้ง ซึ่งหากดูว่าไทม์ไลน์ที่ “พี่น้อง 3 ป.” ตั้งเป้าหมายไว้ ที่จะประคับประคอง “รัฐบาลเรือเหล็ก” ไปให้ถึงฝั่งฝัน คือการเป็นเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ในช่วงปลายปีนี้ หากนับอายุรัฐบาลจนถึงตอนนั้นแล้ว ก็เกือบครบเทอม ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการยุบสภาก่อนหมดวาระในช่วงเดือน ม.ค. 2566 ก่อนที่จะเปิดศึกเลือกตั้งกันในเดือน มี.ค.2566

ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงปลายปี จะเริ่มเห็นบรรยากาศการจัดทัพเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งของแต่ละพรรคคึกคักมากขึ้น เนื่องจากหากรัฐบาลชิงยุบสภา ตามกฎหมายมีการเปิดช่องให้ ส.ส.สังกัดพรรคใหม่ได้ใน 30 วัน ก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้งบังคับใช้ ซึ่งในช่วงนั้นก็จะได้เห็นความชัดเจนของการ “ย้ายพรรค-เปลี่ยนขั้ว” ของ ส.ส.กันให้เห็นมากขึ้น

โดยที่น่าจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น พรรคภูมิใจไทย ที่มีแนวโน้มได้ ส.ส.งูเห่า จากพรรคอื่นเพิ่ม จนกลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงอยู่ในวังวนวิกฤติ และอาจจะถูกเพื่อตกปลาในบ่อเพื่อดึงไปสร้าง พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก็มีแนวโน้มที่พรรคประชาธิปัตย์ จะยังคงมีเลือดไหลซิบๆ อยู่ แม้จะมีความพยายามอุดรูรั่วด้วยการดึงคนรุ่นใหม่เข้าร่วมงานกับพรรคมากขึ้น แต่ก็ต้องรอดูว่ากระดูกจะแข็งเท่ากับ ส.ส.รุ่นเก่าหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐ ก็อาจจะมีการเดินเกม “แตกแบงก์พัน” เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสูตรคำนวณ หาร 500 มากที่สุด

ขณะที่ พรรคเพื่อไทย แม้ที่ผ่านมาออกอาการเลือดไหลซิบๆ จากกลุ่ม “งูเห่า” แต่แนวโน้มในช่วงการเตรียมทัพสู้ศึกเลือกตั้งคงจะไม่มีเลือดไหลเพิ่มจากเดิม เพราะ ส.ส.ชุดเดิมที่เป็น ส.ส.เขตกันทั้งหมด คงจะพยายามรักษาเก้าอี้ไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค ก็มีโอกาสได้บวกเพิ่มจากกติตาใหม่ ไม่ใช่ปิดประตูตายเหมือนการเลือกตั้งปี 2562 นอกจากนั้นยังมีแนวคิดที่จะเตรียมเดินเกม “แตกแบงก์พัน” เพื่อเก็บตกคะแนนเสียงด้วยเช่นกัน ส่วน พรรคก้าวไกล ที่ถูกมองว่าอาจจะเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากสูตรคำนวณหาร 500 มากที่สุด อาจจะกลายเป็นพรรคเนื้อหอม ที่ ส.ส.ต่างพรรคอยากย้ายเข้าอีกพรรคหนึ่ง

ดังนั้นหลังจากนี้ก็จะได้เห็นถึงแรงเหวี่ยง-แรงเขย่า ตัวผู้เล่นในเกมการเมืองกันยกใหญ่ ซึ่งก็จะทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ท้ายที่สุดแล้ว “ดีเอ็นเอการเมือง” ของแต่ละพรรคจะเป็นอย่างไร

ทั้งนี้นอกจาก 3 ขยักข้างต้นแล้ว ก็ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นที่จะส่งผลต่ออุณหภูมิทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลด้วยเช่นกัน ทั้ง “วิกฤติโรคระบาด” ที่ล่าสุดไทยพบ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 แล้ว 1 ราย ซึ่งโอมิครอนสายพันธุ์ดังกล่าวมีการคาดว่าจะหลบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนได้ดี และดื้อต่อวัคซีน นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดจนกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ ขณะที่ปัญหาสำคัญที่รัฐบาลยังคงแก้ไม่ตกก็หนีไม่พ้น “วิกฤติเศรษฐกิจ” แม้ล่าสุด “บิ๊กตู่” จะเซ็นต์คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจฯ แต่รายชื่อกรรมการส่วนใหญ่ก็ยังเป็น “คนหน้าเก่า” ที่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาอยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว ดังนั้นก็คงจะต้องรอดูกันว่าคณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมาใหม่ จะสามารถเป็นที่พึ่งให้คนไทย “ฝากผีฝากไข้” ได้อย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่?

สุดท้ายแล้วคงต้องรอดูกันว่า ในเวลาช่วง “โค้งสุดท้าย” ที่เหลืออยู่ “บิ๊กตู่-รัฐบาลเรือเหล็ก” จะสามารถฝ่าด้านสำคัญทางการเมืองที่เหลืออยู่ไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ และจะสามารถทำผลงานพลิกฟื้นวิกฤติศรัทธายื้อเรตติ้ง เพียงพอที่จะเอาชนะศึกเลือกตั้งในอนาคตได้หรือไม่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดูจากบริบท “สมการอำนาจ” ก็ยังมองภาพได้ค่อนข้างชัดเจนว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ขั้วอำนาจพี่น้อง 3 ป.-ขั้วพรรคภูมิใจไทย-ขั้วพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงผนึกรวมกันแน่น รอเติมเสียงจาก ขั้ว 250 ส.ว. เพื่อหวัง “เข้าฮอส” ในเกมอำนาจกันอีกรอบ!