จากคดีสะเทือนขวัญ คนร้ายสังหารพระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว หรือ นพ.บัณฑิต สงวนแก้ว หรือที่รู้จักกันในนาม “พระหมอ” อายุ 48 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าตอสีเสียด อ.เมือง จ.อุดรธานี ถูกมือปืนจ่อยิงอย่างอุกอาจ มรณภาพขณะกำลังเดินกลับจากบิณฑบาต เมื่อวันที่ 1 มี.ค.58 ที่ผ่านมา จนล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอุดรธานี ติดสินประหารชีวิต นายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์, จำคุกตลอดชีวิต ด.ต.ชาญชัย สร้อยสังวาลย์ และ นายปัญจ๋า หรือโบ้ ชารีแสน รับสารภาพให้การเป็นประโยชน์ ส่วน นายบุญนาค หงษาคำ มีคำพิพากษายกฟ้อง ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวานนี้ (5 ส.ค.) ที่วัดป่าตอสีเสียด บ้านโนนเดื่อ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยบรรยากาศทั่วไปเงียบสงบ ลานด้านซ้ายประตูวัด “จิตกาธาน” ที่ใช้ในการประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว หรือพระหมอ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ ถูกล้อมด้วยรั้วสเตนเลส 2 ชั้น สร้างทางเดินไว้ชั้นนอก และชั้นในตกแต่งด้วยกระถางบัว สนามหญ้า และรั้วต้นเข็ม มีการตกแต่งดูแลรักษารัศมีราว 20 เมตร นอกนั้นมีหญ้าขึ้นสูง ขณะบริเวณประตูหน้าวัด จุดพักทำบุญตักบาตร จัดเรียงโต๊ะเก้าอี้ และทำความสะอาดเรียบร้อย มีเพียงประตูรั้วถูกเปิดออก เพราะมีช่างเข้ามาทำงานภายใน

จากประตูหน้าวัดเดินเข้าไปราว 100 เมตร จึงจะถึงศาลาวัดขนาดไม้ใหญ่นัก เป็นศาลาชั้นเดียวตั้งอยู่ติดพื้น มีศาลาของญาติโยมอยู่ห่างๆ ซึ่งทั้งหมดสร้างขึ้นตั้งแต่ “พระหมอ” ยังมีชีวิตอยู่ ในศาลาวัดเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ภาพของพ่อแม่ครูอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ตู้หนังสือ และตำราต่าง ๆ โดยมีแท่นบูชา “พระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว” เพิ่มเติม ซึ่งด้านล่างเป็นภาพของ “พระหมอ” ด้านบนเป็นเจดีย์แก้วบรรจุอัฐิพระหมอ และมีครอบแก้วโครงไม้ ครอบเจดีย์แก้วอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน หลวงปู่สุข สุจิโต อายุ 81 ปี พ่อของพระอาจารย์บัณฑิต สงวนแก้ว ที่ยังคงพักอยู่ชั้น 2 ของกุฏิหลังเดิม ที่ให้จำวัดมาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง ด้วยอายุมากขึ้น มีอาการปวดหลัง และมือสั่น เดินขึ้นลงกุฏิไม่สะดวก ญาติโยมกำลังสร้างกุฏิหลังเตี้ยให้อยู่ขนานกับกุฏิหลังเดิม โดยหลวงปู่สุขฯ บอกว่า “ยังมีกำลังเดินขึ้นลงกุฏิได้อยู่ แต่ญาติโยมมาขออนุญาตสร้างถวาย” ขณะที่ “แม่ตุ๋ย” นางรุวณี สงวนแก้ว” แม่ของพระหมอ ก็มาปฏิบัติธรรมกับญาติโยมอยู่ท้ายวัด

หลวงปู่สุข สุจิโต บอกด้วยว่า เป็นชาว จ.สุรินทร์ เรียนจบ ม.6 ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนต่อพาณิชย์ ตอนนั้นก็ไปอาศัยอยู่ที่วัด จบแล้วไปทำงานและเรียนนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เคยไปสอบผู้พิพากษา แต่ก็ไม่ทันเพราะทำงานไปด้วย ส่วน “พระหมอ” เรียนเก่งสอบจบมัธยม รร.สวนกุหลาบ สอบได้ที่ 1 มาเรียนต่อแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกือบได้เหรียญทอง มารับราชการที่ จ.อุดรธานี จนสนใจทางธรรมก็บวชเมื่อปี 38 ไปอยู่กับหลวงปู่ลี วัดถ้ำผาแดง หลวงปู่สุข มาบวชปี 48 ก็อยู่กับหลวงปู่ลี ได้ 3 พรรษา แล้วขอหลวงปู่ลีมาอยู่วัดป่าตอสีเสียด

“พระหมอรู้ล่วงหน้ามีภัยถึงชีวิต เคยสั่งเสียลูกศิษย์แต่คิดไม่ถึง อาทิ จุดที่ตั้งจิตกาธานทำไมไม่ปลูกต้นไม้ พอวันเกิดเหตุก็ให้ลูกศิษย์กลับบ้าน ออกไปบิณฑบาตก็เอาเจ้าสิงห์ หรือสุนัข ขังกรงไว้ ทั้งที่ปกติเจ้าสิงห์จะต้องไปด้วย ลูกศิษย์วัด 2 คนที่ไปด้วยก็ให้เดินไปก่อน เมื่อพระหมอมรณภาพ วัดก็ดำเนินไปตามปกติ มีพระมาอยู่บางปี 5 รูป บางปี 2 รูป ทุกปีวันที่ 1 มี.ค. ตรงกับวันมรณภาพ เพื่อนพระหมอจากสวนกุหลาบ-แพทย์จุฬา และลูกศิษย์ นัดกันมาทำบุญที่นี่ ทุกอย่างพระหมอสร้างไว้หมดแล้ว หลวงปู่มาสร้างแค่กำแพง พื้นที่ปฏิบัติธรรมโยมผู้หญิงเท่านั้น” หลวงปู่สุข กล่าว

หลวงปู่สุข สุจิโต บอกต่อว่า หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ก็จำพรรษาที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนเลย โยมแม่พระหมอก็มาปฏิบัติธรรมที่นี่ เรื่องคดีความก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย กรรมใครกรรมมัน คนที่ยิงก็มาขอขมาหลวงปู่ หลวงปู่ก็อโหสิกันไปแล้ว และหากคนที่กระทำที่มีเวรกรรมต่อกันอยู่ เข้ามาขอขมาหลวงปู่ก็จะเมตตาอโหสิกรรมให้ ซึ่งก็ไม่เคยมีการติดต่อมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน หลวงปู่เองก็ไม่ได้ออกไปไหน

“หลวงปู่เองก็ไม่ติดใจ ไม่เคยอาฆาต ถือว่าเป็นกรรมใครกรรมมัน เรื่องการอ่านคำพิพากษาวานนี้ หลวงปู่ก็ไม่รู้เรื่องเลย มีแต่ลูกสาวคนโตไปฟังคำพิพากษาตอนเช้า แล้วกลับมาเล่าให้ฟังทีหลังตอนบ่าย เรื่องนี้ไม่ได้คิดอะไรอีกแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หนีไม่พ้นกรรมหรอก ถึงญาติพี่น้องเขามา ก็ถือว่าเป็นเพื่อน ไม่เคยมีความโกรธแค้นอะไร จิตใจเราว่างแล้ว ขออโหสิกรรมทุกคน” หลวงปู่สุข กล่าวทิ้งท้าย