เมื่อวันที่ 29 ก.ค. จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพคุณพ่อหมดสติบนรถวีลแชร์ พร้อมระบุข้อความว่า “ขอบคุณพี่ๆ มูลนิธิทุกท่านนะคะ ที่เข้ามาช่วยเหลือและขอพูดในฐานะลูกคนนึงที่พ่อเป็นอัมพฤกษ์และต้องมองพ่อตัวเองอาการหนัก แบบนี้มันเกิดมาจากการทำงานของข้าราชการ เห็นอยู่เต็มตาว่าคนพิการ เราต้องพาคุณพ่อมากรมที่ดินมาโอนบ้าน แค่มาเซ็นเอง ขอให้เจ้าหน้าที่ไปทำที่บ้านก็ไม่ยอมต้องพาแกออกมา เราก็ยอมแล้ว มาถึงแทนที่จะช่วยกันทำให้เร็วๆ หน่อย ดูก็รู้ว่าแกนั่งไม่ไหว ให้คนพิการนั่งรอ 3-4 ชั่วโมง ไม่รู้เลยจริงๆ ว่า จิตใจพวกเขาทำด้วยอะไรถึงไม่เห็นใจกันบ้าง

จนสุดท้ายพ่อเราต้องมาเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉิน เพราะแกไอจนเหนื่อย แกรอข้างนอกอากาศ 33 องศานะ ใครจะไปไหว เราทำอะไรไม่ได้เลย แค่มันเจ็บใจจริงๆ ที่แกต้องมาโรงพยาบาลแบบนี้ เพราะระบบข้าราชการที่ไม่เอื้ออำนวยให้คนพิการเลย คนที่เข้ามาช่วยเหลือขอขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ แต่ใครที่ใจร้ายทำให้ต้องรอคิวกันนานขนาดนี้ เราก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะบอกเค้าว่าอะไร เพราะถ้าเป็นพ่อของเค้าเอง เค้าจะเข้าใจ”

ต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปพบกับ นางสาวสุดที่รัก แซ่ตั้ง อายุ 62 ปี และนางสาวกฤตพร หลวงปราบ อายุ 20 ปี ภรรยาและลูกสาวผู้ป่วย เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น นางสาวสุดที่รัก กล่าวว่า ครอบครัวตนมีอยู่ 3 คน เป็นครอบครัวเล็กๆ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องขายบ้านเพราะว่าหัวหน้าครอบครัวคือสามีตนชื่อ นายปติวัฒณ์ หลวงปราบ อายุ 52 ปี เป็นเลือดออกในก้านสมองฉับพลันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งทางผู้ใหญ่ที่ซื้อบ้านต่อตนเป็นการซื้อแบบทำสัญญาซื้อขาย โดยมีการผ่อนต่อจนหมด จึงต้องทำเรื่องเปลี่ยนชื่อถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ แต่ชื่อเป็นของสามีตนซึ่งป่วยติดเตียงอยู่ ตนจึงทำหนังสือมอบอำนาจเพื่อไปยื่นกับทางกรมที่ดิน แต่ทางเจ้าหน้าที่การเคหะได้บอกกับตนว่า ต้องให้ผู้ป่วยไปดำเนินการด้วยตัวเอง

เจ้าหน้าที่การเคหะเอื้ออาทรได้มีการนัดกับตนว่า จะมีรถมารับคนป่วยไปทำธุรกรรมแต่โดนเท จึงได้โทรฯ ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ให้มารับผู้ป่วยติดเตียงไปทำธุรกรรม พอไปถึงสำนักงานก็ต้องรอคิวนานตั้งแต่ 09.00 น. จนถึง 12.00 น. จนหัวใจหยุดเต้น จึงประสานกู้ภัยมารับตัวไปรักษาต่อที่ รพ. อาการหนักจนกระทั่งต้องเจาะคอ ซึ่งสาเหตุก็ไม่ทราบว่ามีการสื่อสารกันผิดหรือเปล่า ถึงได้รอนานแบบนี้ อยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีกว่านี้สำหรับผู้ป่วยติดเตียงและคนพิการ ซึ่งตนไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก

นางสาวสุดที่รัก กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ทางด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานกรมที่ดิน สาขาปากเกร็ด ได้เดินทางมาเยี่ยมสามีของตน ซึ่งอาการตอนนี้ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ เนื่องจากออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยมอบกระเช้าให้กับตนและขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ดำเนินการล่าช้า แต่ตนไม่ได้โทษทางเจ้าหน้าที่ เพียงแค่อยากให้ระบบราชการมันดีกว่านี้ มีการแยกผู้ป่วยติดเตียงและผู้พิการ จึงอยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูเคสตนเป็นตัวอย่าง แล้วไปปรับแก้ไขเพื่อจะได้ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก

ด้านนางสาวกฤตพร กล่าวว่า ความรู้สึกตนที่เขียนโพสต์ลงโซเชียลตอนนั้น มีความรู้สึกกดดันหลายอย่าง เนื่องจากอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่ รพ. ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นทั้งโกรธ ทั้งโมโห และทั้งเศร้า ตามหลักจริงแล้วถ้าเรื่องจบตั้งแต่ใบมอบอำนาจพ่อของตนก็ไม่ต้องออกไป และเรื่องก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็พยายามสอบถามแล้วว่ามีวิธีไหนที่จะไม่ให้พ่อต้องออกไปทำเรื่องเอง ซึ่งตนก็รู้อยู่ว่า ถ้าพ่ออกไปด้วยสภาพแบบนี้จะอันตรายแน่ ทั้งเสี่ยงโควิด และการติดเชื้อโรคต่างๆ ตนก็ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ของการเคหะและกรมที่ดิน ไปสื่อสารกันผิดยังไงจึงทำให้ดำเนินการช้าแบบนี้ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้ระบบราชการให้มีข้อปฏิบัติสำหรับผู้พิการหรือผู้ป่วยติดเตียง มีช่องทางพิเศษ เวลามีเหตุฉุกเฉินจะได้รับมือทัน ซึ่งตามหลักจริงแล้วก็น่าจะเสร็จภายใน 1 ชม. เนื่องจากเอกสารของตนครบ เหลือเพียงแค่เซ็นเอกสารและปั๊มลายนิ้วมือ แต่วันเกิดเหตุใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จนพ่อมีอาการหนัก จึงติดต่อ 1669 มูลนิธิร่วมกตัญญู มารับพ่อไปรักษาที่ รพ. ไปรักษาต่อ