เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 4 ส.ค. ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่า จุดยืนพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องไปยังบอร์ดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีอำนาจยับยั้งการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ซึ่งการควบรวมดังกล่าวจะทำให้ผู้เล่นรายใหญ่จาก 3 ราย เหลือ 2 ราย และจะมีส่วนแบ่งของตลาดเกิน 50% ถือเป็นการผูกขาดกิจการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ในการศึกษาวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการ กสทช. 4 ชุด ที่ตั้งขึ้นมาโดยบอร์ด กสทช. ได้แก่ 1.อนุฯ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง 2.อนุฯ ด้านเศรษฐศาสตร์ 3.อนุฯ ด้านเทคโนโลยี และ 4.อนุฯ ด้านกฎหมาย ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีการควบรวมทรู-ดีแทค เพราะจะเกิดการผูกขาด และ กสทช.มีอำนาจเต็มในการยับยั้งการควบรวมกิจการครั้งนี้

นายพิธา กล่าวต่อไปว่าจากความคิดเห็นที่หลากหลายของฝ่ายวิชาการ ภาคประชาชน เท่าที่ตนตรวจสอบ หลังจากการควบรวมทรู-ดีแทค มีโอกาสที่จะทำให้ค่าโทรศัพท์มือถือของเราแพงขึ้น 12-40% รวมไปถึงจะทำให้เกิดการผูกขาดข้อมูลทั้งการซื้อ รับชม จ่ายบิล และโอกาสในการแข่งขันเพื่อสร้างหรือพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลน้อยลง อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 ส.ค.นี้ กสทช.จะมีการลงมติว่าจะอนุมัติให้มีการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค หรือไม่นั้น ตนและคณะก้าวหน้า นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จะเดินทางไปพบสื่อมวลชนเพื่อนำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้มากขึ้น ยืนยันว่าพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชน

ทาง นายธนาธรโพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊ก ชวนประชาชนร่วมจับตากรณีบอร์ดกสทช. จะมีการลงมติว่าจะอนุมัติให้มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง ทรู-ดีแทค หรือไม่ ในวันที่ 10 ส.ค.นี้  โดยระบุว่าตัวเองได้เฝ้าจับตากรณีดังกล่าวมาตั้งแต่ปลายปี 64 ซึ่งมีความน่ากังวลเป็นอย่างมาก ว่าจะส่งผลเสียต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล ซึ่งหาก กสทช. มีมติอนุมัติให้เกิดการควบรวมกิจการขึ้น จะส่งผลกระทบในสามด้านหลัก ประกอบด้วย 1. จะเหลือผู้ให้บริการสัญญาณมือถือเพียงแค่สองรายในตลาดเกือบ 100% ซึ่งไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้ว อนุญาตให้มีการควบรวมกิจการจาก 3 เจ้าเหลือ 2 เจ้า เพราะเสี่ยงต่อการแข่งขันและราคา 2. จากผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการที่บอร์ด กสทช. แต่งตั้งขึ้น พบว่าราคาค่าบริการมือถือและอินเทอร์เน็ต อาจเพิ่มขึ้น 12.57 – 39.81% เท่ากับประชาชนอาจต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงเบอร์ละ 26.5 – 84 บาท/เดือน และ 3. เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะขาดศักยภาพในการแข่งขันกับโลก เมื่อผู้ประกอบการโทรคมนาคมไม่ต้องแข่งกันเพิ่มความเร็ว-ลดราคา และเพิ่มความเสถียรของสัญญาณอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป 

ทั้งคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล มีจุดยืนร่วมกันมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องไม่เติบโตด้วยความเหลื่อมล้ำ เอื้อประโยชน์นายทุนผูกขาดให้ร่ำรวยโดยไม่เกิดนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน และจะใช้พลังทั้งหมดที่มี เพื่อคัดค้านการควบรวมกิจการครั้งนี้  พลังของพวกเราเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสร้างแรงกดดันได้ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนร่วมกันส่งเสียง ทั้งในฐานะผู้บริโภคและในฐานะประชาชนเจ้าของประเทศ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยการรณรงค์ #หยุดผูกขาดมือถือ โดย 1.ร่วมลงชื่อในเว็ปไซต์ change ตามลิงก์ดังกล่าว ลิงค์ลงชื่อ https://bit.ly/3SgV2yd 2. สื่อสารในทุกช่องทางของทุกคนด้วยแฮชแท็ก #หยุดผูกขาดมือถือ และ 3. แท็ก กสทช. ในทุกช่องทางออนไลน์ ให้ออกมติโดยฟังเสียงประชาชน 

“เรามีเวลาทำภารกิจเร่งด่วนนี้ร่วมกัน 7 วันที่เหลืออยู่ ช่วยกันส่งเสียง แชร์ โพสต์ ในทุกช่องทางที่เรามี เพื่อให้เสียงของเราดังไปถึงกสทช. ให้ได้ ผมคนเดียวทำไม่ได้ แต่เราทุกคนช่วยกัน จะกลายเป็นเสียงที่ดังพอที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ” นายธนาธรระบุ