เขย่าขวัญกันไปทั้งโลก สำหรับท่าที “สหรัฐอเมริกา-จีน” ที่ทำให้เกิดความกังวลถึงแนวโน้มการเกิดสงครามระลอกใหม่!
สืบเนื่องมาจากความตรึงเครียดจากเหตุการณ์ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนสหรัฐอเมริกา เดินทางเยือนไต้หวัน เมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ครั้งแรกในรอบ 25 ปี ขณะที่ทางการจีนมองว่าการกระทำที่ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างร้ายแรง พร้อมทั้งขู่ขวัญด้วยการทำการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงรอบเกาะไต้หวัน และทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลสหรัฐ
แน่นอนว่าจากเหตุการณ์เผชิญหน้าของชาติมหาอำนาจดังกล่าว ทำเอาคนครึ่งค่อนโลกอกสั่นขวัญหายไปตามๆกัน แม้หลายคนมองว่ายังไม่ถึงจุดที่จะพัฒนาไปเป็นชนวนเหตุแห่งสงครามระหว่าง “สหรัฐอเมริกา-จีน” อย่างที่กังวล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้เลวร้ายไปมากยิ่งขึ้น
นอกจากสงครามระหว่างประเทศที่ยังต้องลุ้นระทึก ขณะเดียวกันสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยก็มีปฏิบัติการ “ประกาศสงคราม” กับความรู้สึกประชาชนเช่นเดียวกัน จากเหตุการณ์ “สภาล่ม” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม แต่บรรยากาศในห้องประชุมกลับเป็นไปอย่างโหรงเหรง สมาชิกรัฐสภาอยู่ในห้องประชุมบางตา การจะลงมติแต่ละมาตราต้องเสียเวลานานมากในการรอสมาชิกมาแสดงตนจนครบองค์ประชุมนานร่วม 25-30 นาที บางมาตราต้องรอองค์ประชุมกันเกือบ 1 ชม. จนสุดท้าย ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ก็ต้องปิดประชุมไปด้วยเหตุผลองค์ประชุมไม่ครบ
ซึ่งงานนี้ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็น “เกมยื้อกฎหมายลูก” เนื่องจากหลังการพิจารณากฎหมายดังกล่าว มีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จ่อคิวอยู่ อีกทั้งบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในห้องประชุม จึงทำให้ถูกเชื่อมโยงว่า สาเหตุที่ ส.ส. 2 พรรคใหญ่อยู่ในห้องประชุมกันน้อย เนื่องจากไม่ต้องการให้องค์ประชุมครบ เพราะทั้งสองพรรคไม่ต้องการให้ใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หารด้วย 500
จึงเล่นเกมไม่ให้องค์ประชุมครบ เพื่อให้ร่างกฎหมายดังกล่าวพิจารณาเสร็จไม่ทันกรอบ 180 วัน ภายในวันที่ 15 ส.ค. นี้ ทำให้ร่างกฎหมายตกไป ต้องกลับไปใช้ร่างกฎหมายฉบับเดิมที่ ครม.เป็นผู้เสนอ โดยใช้วิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 100 ตามที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทยต้องการ
สอดคล้องกับความคิดเห็นอของ วันชัย สอนศิริ ที่ออกมาบอกว่า ดูแนวโน้มแล้วร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่น่าจะพิจารณาได้เสร็จทัน 180 วัน เพื่อต้องการให้กลับไปใช้ร่างกฎหมายฉบับเดิมที่ ครม.เสนอมาคือ การใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 100 ทราบว่าเป็นข้อตกลงที่เห็นพ้องต้องกันของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะใช้วิธีนี้ เพราะสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบหาร 500 คงเดินต่อไปไม่ไหว เดินต่อมีแต่ตัน ตก ไปไม่รอด และเมื่อไปถึง กกต. และศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็มั่นใจไม่ได้ว่า ผลจะออกมาอย่างไร จึงต้องกลับมาใช้วิธีหาร 100 ทางที่ง่ายที่สุดคือ ให้กฎหมายตกไปเพราะพิจารณาไม่ทันใน 180 วัน ถือเป็นกลไกทางสภา แม้เสี่ยงต่อการถูกด่า เพราะผ่านกฎหมายสำคัญไม่ได้ภายในเวลาที่กำหนดต้องยอม เพราะถือว่าเดินเกมผิดมาแต่แรก
ดังนั้นก็คงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ในการประชุมร่วมรัฐสภาสัปดาห์หน้าในวันที่ 9-10 ส.ค. จะเกิดเหตุการณ์ที่ชวนให้คิดได้ว่าเป็นเกม “สภาล่มยื้อกฎหมายลูก” ขึ้นอีกครั้งหรือไม่
นอกจากวาระร้อนในสภาแล้ว ยังมีวาระร้อนนอกสภาที่ต้องลุ้นระทึก! โดยเฉพาะวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม นับจากวันที่ 23 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป จะถือได้ว่าครบวาระ 8 ปีติดต่อกันหรือไม่ ซึ่งเริ่มมีการดำเนินการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ไม่ว่าผลการตีความวาระ 8 ปี “บิ๊กตู่” จะออกมาในทิศทางใด ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อ “โมเมนตัมอำนาจ” หลังจากนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากท้ายที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯของ “บิ๊กตู่” เริ่มนับตั้งแต่ปี 2557 ก็จะทำให้ “บิ๊กตู่” ต้องพ้นจากตำแหน่งไปในทันที ซึ่งผลกระทบที่จะตามมาคืออาการระส่ำระสายของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะจะต้องหาคนมาเป็นนายกฯแทน โดยในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเหลือบัญชีรายชื่อนายกฯที่พรรคการเมืองเสนอ 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งต้องดูว่าพรรคแกนนำหลักอย่างพรรคพลังประชารัฐจะยอมให้บุคคลที่พรรคอื่นเสนอชื่อเป็นนายกฯหรือไม่ หรือจะเลือกเปิดช่องดึงคนนอกนั่งนายกฯ
หรือหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกฯนับตั้งแต่ปี 2560 หรือนับตั้งแต่ปี 2562 ก็จะเท่ากับว่า “บิ๊กตู่” ยังเหลือเวลาดำรงตำแหน่งจนรัฐบาลครบเทอม ในเดือน มี.ค. 2566 ก็จะเท่ากับว่า “ทางสะดวก” และย่อมส่งผลต่อการเดินเกมของ “พี่น้อง 3 ป.” หลังจากนี้ รวมไปถึงแผนระยะยาวไปจนถึงการลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าเลยก็เป็นได้
ทั้งนี้หากจับอาการของ “บิ๊กตู่” จะเห็นได้ชัดว่ามีการลงพื้นที่ถี่มากขึ้น และส่วนใหญ่ล้วนเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ และฐานเสียงของพรรคคู่แข่งอย่างมีนัยะสำคัญ ไล่ตั้งแต่ การลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ตามด้วยการเดินทางเยือนจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ลงพื้นที่กำแพงเพชร เมื่อวันที่ 7 ก.ค. และล่าสุดลงพื้นที่กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา
ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีการเดินสายจัดโรดโชว์ผลงานพรรคพลังประชารัฐ โดยเวทีแรกจัดไปแล้วที่ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.ค. และเวทีที่สอง ที่จังหวัดหนองคาย วันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา
จากบริบทการเดินเกมลงพื้นที่เช็กเสียงวัดเรตติ้งของ “พี่ป้อม-น้องตู่” ถือเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่า “พี่น้อง 3 ป.” ยังมีแผนระยะยาวในเกมอำนาจ
นอกจากความเคลื่อนไหวของ “พี่น้อง 3 ป.” แล้ว สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเดินเกม “แตกแบงค์พัน-เสริมนั่งร้าน” โดยพรรคที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะกลายมาเป็นตัวแปรนั่งร้านอำนาจ “พี่น้อง 3 ป.” หนีไม่พ้น พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ขึ้นแท่นเป็นหัวหน้า ขนาบข้างด้วยบรรดาขุนพล กปปส. ทั้ง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค วิทยา แก้วภราดัย กรรมการบริหารพรรค ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค อดีตเลขาธิการพรรครวมพลังประชาชาติไทย และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ พรรครวมแผ่นดิน ที่มี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย
ถึงแม้ “บิ๊กตู่” จะออกมาปฏิเสธถึงความเกี่ยวข้องกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ และย้ำชัดว่าตอนนี้อยู่กับพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งมีแนวคิดที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่าทั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรครวมแผ่นดิน ไม่ใช่พรรคที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “พี่น้อง 3 ป.” ภายใต้ยุทธการ “แตกแบงก์พัน” รองรับกติกาเลือกตั้งใหม่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเดินเกม “แตกแบงก์พัน” ของ “พี่น้อง 3 ป.” อาจจะกลายเป็นดาบสองคม เพราะการแตกพรรคเล็กภายใต้ฐานเสียงเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ แม้ในทางหนึ่งจะเป็นพรรคทางเลือก แต่อีกทางหนึ่งก็จะกลายเป็นการแย่งเสียงกันเองหรือไม่ เพราะฐานเสียงของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน แบ่งกลุ่มกันชัดเจนอยู่แล้ว
ดังนั้นการ “แตกแบงก์พัน-ทำคลอดพรรคเล็กพรรคน้อย” ของฝ่ายรัฐบาล ภายใต้บริบทที่คะแนนนิยมทางการเมืองรัฐบาลตกต่ำเช่นที่เป็นอยู่จึงไม่ได้ช่วยให้ดึงแต้มจากพรรคฝ่ายค้านได้เลย แต่กลับกลายเป็นการตัดแต้มกันเอง จนอาจจะกลายเป็นว่า “แตกร้อยพรรค…แพ้ร้อยครั้ง” หรือไม่.