เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดงานรณรงค์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องในสัปดาห์นมแม่โลก และเดือนวันแม่แห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้อัตราเด็กเกิดใหม่ในไทยลดน้อยลง ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับเด็กที่เกิดมา อย่างกรณีนมแม่ ถือเป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกทุกคน เสริมสายใยรักระหว่างการให้ลูกดูดนมจากเต้า อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้อนมผงด้วย จึงมีการออกสูตร 162 ขึ้นมา คือ ให้ทารกได้ดูดนมจากเต้าภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ดื่มนมแม่อย่างเดียวต่อเนื่องไปจนถึง 6 เดือน และดื่มนมแม่ คู่กับการกินอาหารตามวัยต่อเนื่องไปจนถึง 2 ปี แต่จากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคน พบว่าตัวเลขทั้ง 3 ส่วนนี้ในภาพรวมลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ปี 2562 พบว่า มีทารกไทยเพียง 34% ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และมีเพียง 14% ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และมีทารกที่ได้กินนมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยต่อเนื่องถึง 2 ปี เพียง 15% ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2568 ทารก 50% จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน สอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะประสบความสำเร็จและยั่งยืนได้ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้กระทั่งบุคคลที่มีชื่อเสียงในการขับเคลื่อนไปด้วยกัน

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า นมแม่เป็นอาหารที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับเด็ก เพราะมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่มีคุณค่า เหมาะกับการเจริญเติบโตของเด็ก นมแม่หยดแรกเปรียบเสมือนวัคซีนในการป้องกันโรคเพราะมีภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่สามารถหาได้จากอาหารอื่น นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังเป็นกระบวนการให้อาหารใจกับลูก เป็นการสร้างสายใยความผูกพันผ่านการสบตา การสัมผัส และการโอบกอดลูก และยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะทุพโภชนาการของเด็ก รวมทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและของประเทศ ที่สำคัญ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องธรรมชาติที่มอบให้ลูก เพื่อการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และมีรากฐานชีวิตที่แข็งแรงและมั่นคง.