เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจทางหลวง ถนนศรีอยุธยา พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. พ.ต.อ.นพ.ปกรณ์ วะศินรัตน์ ผู้แทนสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.อ.วันชนะ ทิพย์อาสน์ ผกก.8 บก.ทล. พ.ต.ท.พงศ์ศรัณย์ วังพลับ หัวหน้าพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.รัตพล วรรณะ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ด.ต.เดชฤทธิ์ น้อยขุ้ย เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ นายภาสกร ศิริภาพ เจ้าหน้าที่กู้ภัย นายธนศักดิ์ วงศ์ธนากิจเจริญ ผู้แทนกรมทางหลวง ร่วมกันแถลงชี้แจงกรณีพบผู้เสียชีวิตติดอยู่ภายในซากรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุบนมอเตอร์เวย์สาย 7 (ขาออก) ช่วง กม.105+700 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา

พล.ต.ต.เอกราช กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา เวลา 07.52 น. พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 8 ได้รับแจ้งอุบัติเหตุดังกล่าว ซึ่งมีประชาชนโทรฯ แจ้งเข้ามาที่ศูนย์บริหารจัดการจราจร (CCB) พัทยา ว่า มีอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนแบริเออร์บนถนนมอเตอร์สาย 7 (ขาออก) ช่วง กม.105+700 จากนั้นจึงได้ประสานศูนย์วิทยุกู้ภัยแหลมฉบัง ให้รีบเข้าให้การช่วยเหลือ อำนวยการจราจร จุดเกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดแรกถึงจุดเกิดเหตุในเวลา 07.54 น. และเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดที่ 2 ถึงจุดเกิดเหตุ ในเวลา 08.07 น. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยทั้งหมดที่เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ได้ร่วมกันตรวจสภาพที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และยืนยันว่าไม่พบผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ พบแต่เพียงเอกสารใบสั่งยาระบุชื่อ นายภัทรชัย อรรถพร สันนิษฐานว่าผู้ขับขี่อาจถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว จึงได้เคลื่อนย้ายรถที่เกิดเหตุไปเก็บไว้ที่หน่วยสอบสวนเขาเขียว เมื่อเวลา 09.28 น. เพื่อดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย

พล.ต.ต.เอกราช กล่าวต่อว่า จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ประสานศูนย์บริหารจัดการจราจร CCB เพื่อขอภาพขณะเกิดเหตุ และได้ติดต่อสอบถามไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อติดตามหาตัวผู้ขับขี่ยังไม่ปรากฏว่าผู้ขับขี่อยู่ที่ใด จึงได้เข้าไปตรวจสอบที่รถอีกครั้ง เมื่อเวลา 18.00 น. พบว่ามีผู้เสียชีวิตติดอยู่ที่พื้นรถใต้พวงมาลัยรถด้านคนขับ โดยมีกองเสื้อผ้า ปิดทับอยู่ หลังจากนั้น จึงได้แจ้งให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบและประสานพนักงานสอบสวน สภ.ศรีราชา และส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย ผู้เสียชีวิตคือ นายภัทรชัย อรรถพร อายุ อายุ 68 ปี และส่งศพผู้เสียชีวิตไปยังสถาบันนิติวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิต โดยแพทย์ระบุสาเหตุการตาย เนื่องจากภาวะเลือดคั่งในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เนื่องจากขั้วหัวใจฉีกขาด ปริแตก และกระดูกซี่โครงหัก

พล.ต.ต.เอกราช กล่าวต่ออีกว่า โดยในส่วนรายงานการตรวจพิสูจน์ร่องรอยการเฉี่ยวชนโดยกองพิสูจน์หลักฐาน ไม่พบร่องรอยการเฉี่ยวชน รถคันที่เกิดเหตุกับรถคันอื่นแต่อย่างใด ทั้งนี้ กรมทางหลวงและกองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ดังกล่าวร่วมกัน โดยมีรองอธิบดีกรมทางหลวง (ฝ่ายบริหาร) เป็นประธาน และมีคณะกรรมการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งในส่วนของกรมทางหลวง แขวงทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมือง และกองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยจะได้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาทบทวนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้เกิดประเด็นปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

“ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง พร้อมรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากเหตุดังกล่าวได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวแล้ว หากพบใครเกี่ยวข้องจะดำเนินคดีทั้งทางวินัยและอาญา ย้ำทางกู้ภัยทางกรมทางหลวงมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน และ พฐ. ตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบร่องรอยเฉี่ยวชนกับรถคันอื่น ส่วนที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับกองบังคับการตำรวจทางหลวง ก็เป็นสิทธิของญาติ ให้เป็นไปตามขั้นตอน” ผบก.ทล. กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.นพ.ปกรณ์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ศพได้ถูกส่งมาตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ผลการตรวจยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ในการตรวจเมื่อวานนี้เป็นการตรวจสภาพร่างกายและการตรวจภายใน แต่หลังจากนี้ยังต้องมีการตรวจในห้องปฏิบัติการอยู่ สิ่งที่ตรวจพบจากการตรวจสภาพร่างกายภายนอกและภายใน ตรวจพบการบาดเจ็บของร่ายกายที่ส่วนด้านหน้าของร่างกายทั้งหมดตั้งแต่ใบหน้า หน้าอก แขนหัก 2 ข้าง บริเวณข้อมือและแขนซ้าย มีบาดแผลถลอกช้ำเล็กน้อยตามลำตัวและใบหน้า ส่วนด้านหลังไม่มีบาดแผล เมื่อผ่าเปิดภายใน พบการบาดเจ็บภายในร่างกายที่เป็นการบาดเจ็บหลักของร่ายกาย คือการบาดเจ็บบริเวณทรวงอก การบาดเจ็บที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหลักๆ คือการบาดเจ็บจากการกระทบของแข็งไม่มีคมบริเวณช่องอก ตรวจพบกระดูซี่โครงหักหลายซึ่ทั้ง 2 ข้าง รวมถึงกระดูกกลางหน้าอก

พ.ต.อ.นพ.ปกรณ์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญคือมีการช้ำของเยื่อหุ้มหัวใจพบเลือดคลั่งในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะของการบาดเจ็บที่ค่อนข้างรุนแรง เลือดที่ออกมาจากช่องเยื่อหุ้มหัวใจในปริมาณมาก ตรวจพบว่าออกมาจากบริเวณขั้วรอยต่อระหว่างหัวใจกับเส้นเลือดแดงใหญ่ พบได้บ่อยจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรของผู้ขับขี่ที่มีการกระทบกระแทกบริเวณทรวงอกด้านหน้า เมื่อมีการลดความเร็วอย่างรวดเร็วและหัวใจมีการเหวี่ยงรุนแรง ทำให้เกิดรอยฉีกของรอยต่อระหว่างหัวใจกับขั้วหัวใจได้ เป็นจุดสำคัญและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิตในครั้งนี้ จากการตรวจยังไม่พบบาดแผลอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการตาย และไม่พบความผิดปกติของสมองและกระดูกคอ ตามทฤษฎีอนุมานจากลักษณะอาการบาดเจ็บที่พบรุนแรงมีการฉีกขาดของหัวใจ ผู้ประสบเหตุสามารถเสียชีวิตได้ทันที สูงถึง 80% แต่ไม่สามารถระบุช่วงเวลาหลังเกิดเหตุจะเสียชีวิตได้ภายในกี่นาที ส่วนอีก 20% ที่ไม่เสียชีวิต จะพบผู้บาดเจ็บมีอาการสาหัสมาก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และจากการผ่าพิสูจน์พบว่า ศพมีรูปร่างสันทัดไม่อ้วนไม่ผอม

ขณะที่ นายธนศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ติดต่อกับลูกสาวผู้เสียชีวิต และกรมทางหลวงรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพจัดงานศพผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ทางอธิบดีกรมทางหลวงได้สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ทางให้รัดกุมมากขึ้น

ส่วน พ.ต.ท.รัตพล พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ยอมรับไปไม่ถึงที่เกิดเหตุ โดยได้รับรายงานว่า ไม่พบผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต คู่กรณี โดยได้ดูคลิปที่เกิดเหตุที่ส่งมาทางไลน์และขอ CCTV ตรวจสอบ จึงได้ให้ทำการเคลื่อนย้ายรถ เพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร ย้ำมีความเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งตนได้ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลแหลมฉบัง และโรงพยาบาลบริเวณใกล้เคียงที่คาดว่าผู้บาดเจ็บจะไปรักษา แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะไม่พบผู้บาดเจ็บและไม่มีญาติมาติดตาม จึงเข้าตรวจสอบเอกสารที่รถ จึงพบร่างของผู้เสียชีวิต

ด้าน นายภาสกร เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ไปถึงที่เกิดเหตุ เล่าว่า เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ตั้งใจพยายามเข้าตรวจสอบเหตุให้เร็วที่สุด ประมาณไม่เกิน 5 นาที โดยมองผ่านช่องซ้าย มองเข้าไปไม่พบผู้ขับขี่ ไม่พบสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่พบอวัยวะร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งยื่นออกมา ไม่พบคราบเลือด แต่มีทรัพย์สินกระตัดกระจายอยู่ฝั่งคนขับเท่านั้น ซึ่งอุบัติเหตุที่เคยเจอมา หากมีการชน ผู้ขับขี่จะฟุบไปด้านหน้าพวงมาลัย หรือเอนไปด้านหลัง หรือด้านข้างซ้ายขวา พร้อมยอมรับมองไม่เห็นจริงๆ ไม่ใช่ตนเพียงคนเดียว แต่ในที่เกิดเหตุมีผู้ร่วมตรวจดู 6 คน ใช้เวลาระยะโดยพยายามมองโซนนั่ง ดูกระจกหลัง รวมถึงไปเปิดประตูด้านหลังก็ไม่พบ

“ส่วนสาเหตุที่ไม่ตรวจสอบด้านขวาคนขับ เพราะไม่ต้องการไปยุ่งกับทรัพย์สิน เนื่องจากเคยมีการร้องเรียนเรื่องทรัพย์สินสูญหาย จึงคิดว่าอาจมีผู้หวังดีพาผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล เมื่อมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีกชุดมาถามจึงแจ้งว่าไม่พบผู้ขับขี่ เหมือนบางเคสที่ผ่านมา ทั้งนี้รู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกผิดที่ไม่สามารถเจอคุณลุงได้ในขณะนั้น พร้อมน้อมรับสิ่งที่สังคมวิจารณ์ ยืนยันปฏิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์” เจ้าหน้าที่กู้ภัย กล่าว