เมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายเจษฎา ปานะถึก ผอ.ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี นำเจ้าหน้าที่เดินทางไปมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ข้าวสารอาหารแห้ง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ให้นายสงกรานต์ จันทรเสนา อายุ 39 ปี และ ด.ญ.นิลดา จันทรเสนา อายุ 13 ปี พ่อและลูกสาวพิการตาบอด อยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่ 4 บ้านผ่านศึก 2 ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าลูกสาวป่วยเนื้องอกในสมอง ไปรับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าตาบอดทั้งสองข้าง ทำให้ลำบากในการดำรงชีวิต และฐานะครอบครัวยากจน

นายสงกรานต์ เล่าว่า ตนมีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุก ได้ค่าจ้างวันละ 400-600 บาท อาศัยอยู่บ้านหลังนี้กับนางกอง จันทรเสนา อายุ 80 ปี ด.ญ.นิลดา จันทรเสนา อายุ 13 ปี และ ด.ญ.นันทิดา จันทรเสนา อายุ 5 ขวบ ซึ่งแม่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมและไทรอยด์ ส่วน ด.ญ.นิลดา ตาบอดทั้งสองข้าง เนื่องจากผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ทำให้เป็นคนพิการใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก เพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องหยุดเรียนซึ่งตนไม่ได้รับการเยียวยาจากโรงพยาบาล จึงไปร้องขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี

นายสงกรานต์ เล่าต่อว่า ขณะที่ลูกเรียนอยู่ชั้น ป.6 ลูกมาบอกว่าปวดศีรษะ ตาซ้ายพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด ครั้งแรกคิดว่าลูกสายตาสั้น จึงพาไปหาหมอที่คลินิกตรวจพบว่าตาซ้ายบอดมองไม่เห็น ส่วนตาขวามองเห็นตามปกติ จึงพาลูกไปตัดแว่นสายตา สายตาแต่ก็ยังไม่ดีขึ้นยังมีอาการปวดศีรษะเหมือนเดิม จึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลใน จ.อุดรธานี เมื่อไปเอกซเรย์ก็พบเนื้องอกในสมองทับเส้นประสาทตา หมอแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อรักษาตาขวา ตนจึงตัดสินใจผ่าตัด เพื่ออยากให้ลูกมองเห็นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 โดยใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่หลังจากผ่าตัด 7 วัน ปรากฏว่าตาของลูกมองไม่เห็น ตาบอดทั้งสองข้าง

ซึ่งหลังจากที่ลูกตาบอดตนก็ไปถามหมอว่าทำไมหลังผ่าตัดลูกถึงตาบอดหมอบอกว่า ยังเหลือเนื้องอกมีลักษณะคล้ายเจลอยู่ในสมอง ต้องกินยาและดูอาการไปก่อนแต่ยังไม่บอกถึงสาเหตุ และแนะนำให้ผ่าตัดรอบสอง ลูกจะกลับมามองเห็นตนไม่แน่ใจว่าผ่าตัดแล้วจะกลับมามองเห็น จึงตัดสินใจยังไม่ผ่าตัด ลูกต้องใช้ชีวิตลำบาก มีเพียงน้องสาววัย 5 ขวบ ต้องจูงพี่ไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ และได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าน อสม. ทำเรื่องคนพิการได้รับเงินเดือนละ 800 บาท และให้ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมให้โรงพยาบาลรับผิดชอบ

“ผมคิดว่าหมอวินิจฉัยผิด พอลูกตาบอด หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ หากหมอบอกว่าผ่าตัดแล้วลูกจะตาบอดมองไม่เห็น ผมก็จะไม่ผ่าตัดลูกจะมองเห็นตามปกติ ผมไม่อยากเรียกร้องอะไร ผมไม่ต้องการเงินซักบาทแต่อยากให้ลูกกลับมามองเห็นอีกครั้ง ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกกลับมามองเห็นจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ” นายสงกรานต์ กล่าวปนสะอื้น

ด.ญ.นิลดา จันทรเสนา หรือ น้องฝน อายุ 13 ปี เล่าว่า ตนไม่ได้พิการตาบอดแต่กำเนิด ตนมองเห็นได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไปแต่พอเรียนอยู่ชั้น ป.6 ตนรู้สึกปวดศีรษะและตาพร่ามัวมองไม่ชัด พ่อพาไปหาหมอที่คลินิกพบว่า ตาซ้ายมองไม่เห็นแล้วหมอให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี หลังจากเอกซเรย์หมอแจ้งว่ามีเนื้องอกในสมอง กดทับเส้นประสาทตา ต้องผ่าตัดแต่จะผลข้างเคียงหลังผ่าตัดคือ ชัก พิการ และนอนติดเตียงและหลังจากผ่าตัดปรากฏว่าตาขวามองไม่เห็น ทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง

“หลังตามองไม่เห็น ทำให้หนูไม่ได้เรียนต่อชั้น ม.1 แถมยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้งทำงานบ้านดูแลย่าไม่ได้ ต้องอาศัยน้องสาววัย 5 ขวบ จูงไปอาบน้ำ หาข้าวให้กิน พ่อไปทำงานกลับมาต้องทำงานบ้านอีกก็รู้สึกสงสารพ่อ ส่วนแม่ได้มาเยี่ยมตนครั้งเดียวเมื่อเดือนเมษายน 2565 ครั้งเดียวเท่านั้นเนื่องในวันแม่ หนูก็ขอให้แม่มีความสุข หากขอพรได้ 1 ข้อ  ขอกลับมามองเห็นอีกครั้งเพื่อจะได้กลับไปเรียนหนังสือ เพราะหนูเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.50 อยากเป็นหมอ จะได้รักษาคนเจ็บป่วย และดูแลครอบครัว” ด.ญ.นิลดา กล่าว

นายเจษฎา ปานะทึก ผอ.ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี กล่าวว่าได้รับการร้องเรียนจากนายสงกรานต์ว่าลูกสาวไปผ่าตัดเนื้องอกในสมองที่โรงพยาบาลใน จ.อุดรธานี แต่หลังผ่าตัดปรากว่าตาบอดทั้งสองข้าง ทำให้ประสบความอยากลำบากในการใช้ชีวิตและครอบครัวยากจน แม่ป่วยไทรอยด์ ลูกสาวตาบอด และยังมีลูกสาว 5 ขวบเลี้ยงดู เนื่องในวันแม่จึงนำเจ้าหน้าที่ลงมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับนำเครื่องอุปโภค บริโภค และเครื่องใช้ไฟฟ้ามามอบให้ส่วนเรื่องการร้องให้โรงพยาบาลออกมารับผิดชอบนั้น ก็ได้ส่งเรื่องไป สปสช.และ สำนักงานสาธารณสุข จ.อุดรธานี แล้ว กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาให้การช่วยเหลือและเยียวยาต่อไป

ส่วนผู้มีจิตใจเมตตาอยากช่วยเหลือครอบครัวนายสงกรานต์ และช่วยเหลือ ด.ญ.นิลดา สามารถบริจาคได้ที่ นายสงกรานต์ จันทรเสนา โทร. 09-8193-7946