เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 17-19 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท วาระสองและวาระสาม ตามที่ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ที่มีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้พิจารณาแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ในรายงานของ กมธ.ฯ มีสาระสำคัญ คือ งบประมาณที่ตั้งไว้ 3.185 ล้านล้านบาท มีรายการปรับลดและรายการเพิ่ม ในรายการที่เท่ากัน คือ 7,644 ล้านบาท โดยเป็นน่าสังเกตว่าในการพิจารณาร่าง พ.ร.บงบประมาณปี 66 นี้ ไม่มีรายการปรับลดที่นำไปแปรเพิ่มให้ในส่วนของงบกลาง ทำให้ปี 2566 มียอดงบกลางที่จัดสรรรวม 5.9 แสนล้านบาท

สำหรับรายการของกระทรวงที่ถูกปรับ และเพิ่มขึ้น ที่น่าสนใจ อาทิ กระทรวงกลาโหม ถูกปรับลดสูงสุดถึง 2,778 ล้านบาท ส่วนกระทรวงในกลุ่มของพรรคร่วมรัฐบาล ถูกปรับลดเช่นกัน เช่น กลุ่มของพรรคภูมิใจไทย คือ กระทรวงสาธารณสุข ปรับลด 42 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม ปรับลด 89 ล้านบาท, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปรับลด 32 ล้านบาท

กลุ่มพรรคชาติไทยพัฒนา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับลด 182 ล้านบาท, กลุ่มพรรคประชาธิปัตย์คือ กระทรวงพาณิชย์ ปรับลด 44 ล้านบาท กระทรววงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปรับลด 9 ล้านบาท

ทั้งนี้มีความน่าสนใจในการปรับลดและแปรเพิ่มของบบประมาณในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พบว่ามติ กมธ.ฯ ปรับลด จำนวน 205 ล้านบาท แต่กลับถูกการแปรงบเพิ่มเติมคืนให้สูงสุดถึง 2,277 ล้านบาท โดยจัดสรรให้กับกรมการข้าว เพียงหน่วยงานเดียว ซึ่งระบุในโครงการฯ ที่ได้งบเพิ่ม เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าว และปรับปรุงระบบผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์คัด-พันธุ์หลัก ซึ่งเป็นการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์

ส่วนกระทรวงมหาดไทย ถูกลดงบประมาณ 336 ล้านบาท แต่พบว่าได้รับงบกลับคืน กระทรวงมหาดไทย 24 ล้านบาท ให้กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ ถูกปรับลดงบประมาณ ลง 737 ล้านบาท แต่ในรายการปรับเพิ่มพบว่าได้รับงบคืนถึง 2,219 ล้านบาท ให้กับ สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ สำนักปลัด ในยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางการศึกษา

กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถูกปรับลดงบประมาณ 168 ล้านบาท แต่ได้รับงบคืน 18 ล้านบาท ให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม ถูกปรับลดงบประมาณ 14 ล้านบาท แต่ได้รับงบคืน จำนวน 1.8 ล้านบาท ให้กับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เพื่อใช้โครงการสนับสนุนการสึกษาระดับอนุบาล

นอกจากนั้นในรายการเพิ่มงบยังจัดสรรให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 4.1ล้านบาท เป็นค่าอุดหนุนการศึกษาในโรงเรียน ตชด. สำนักงานพระพุทธศาสนา จำนวน 5.7ล้านบาท เงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลยุติธรรม จำนวน 192 ล้านบาท สำนักงาน ป.ป.ช. 154 ล้านบาท อัยการสูงสุด 230 ล้านบาท อปท. 1,926 ล้านบาท , แผนงาน แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 8.2 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 500 ล้านบาท และ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 81 ล้านบาท ในส่วนแผนงานบุคลากรภาครัฐ

ขณะที่ข้อสังเกตของ กมธ. มีสาระสำคัญ คือ การจัดทำงบประมาณไม่สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน เนื่องจากมีภาระชดเชยหนี้ภาครัฐจำนวนมาก และเพิ่มงบให้รัฐวิสาหกิจสูงถึง 1.62แสนล้านบาท เพื่อใช้หนี้ กว่า 1.18 แสนล้านบาท เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ได้รับงบเพิ่ม 1.5หมื่นล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ใช่เพื่อชดเชยหนี้จากโครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร หรือ ธนาคารออมสิน ได้รับงบเพิ่ม 4,296 ล้านบาท เพื่อชดเชยต้นทุนและภาระดอกเบี้ยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของ เอสเอ็มอี และชดเชยหนี้เสีย จากโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินช่วงโควิด-19 ระบาด

ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายตามกฎหมายหรืองบผูกพัน หากต้องการงบเพิ่มมเพื่อแก้ปัญหาแต่ละปีจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มและปรับโครงสร้างงบประมาณ และควรปรับปรุงการใช้เงินนอกงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ โดยปี 2566 คาดว่ารัฐบาลมีเงินนอกงบประมาณสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท และใช้เงินนอกงบประมาณเพื่อสมทบโครงการต่างๆ สูงถึง 1.05 แสนล้านบาท ทั้งนี้ กมธ.ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีโครงการใดที่ใช้เงินนอกงบประมาณซ้ำซ้อนกัน ดังนั้นหากมีการใช้เงินนอกงบประมาณจำนวนมาก ปีต่อไป กมธ.จะขอตั้งอนุ กมธ.พิจารณาเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ เป็นการเฉพาะ

และยังมีข้อสังเกตไปยังหน่วยงานต่างๆ โดยความน่าสนใจอยู่ที่กระทรวงกลาโหม อาทิ ควรหาแนวทางปกป้องอธิปไตยของไทยแนวใหม่ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และประเทศมีฐานะการเงินที่ดี และจะสนับสนุนให้หน่วยงานจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ได้ตามที่หน่วยงานต้องการ ทบทวนระบบเกณฑ์ทหารแบบภาคบังคับ ควรวางตัวเป็นกลางท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้ง

สำหรับการสงวนความเห็นและคำแปรญัตติ พบว่ามี กมธ.สงวนความเห็น 30 คน และ ส.ส.สงวนคำแปรญัตติ จำนวน 175 คน.