ทำเอาสถิติคนไทยจิตตก ฆ่าตัวตายรายวันเพิ่มมากขึ้น ด้วยความหมดหวัง สิ้นหวัง ท้อแท้ ภายหลังยอดติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศ พุ่งพรวดทะลุหลัก 20,000 คนต่อวัน และยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาดลง จนส่งผลให้ไทยขยับอันดับเข้าใกล้กลุ่มประเทศที่มีผู้ติดเชื้อต่อวันจำนวนมากเข้าไปทุกขณะ จนเกือบจะกลายเป็น “ท็อปเท็น” ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อต่อวันจำนวนมากอยู่รอมร่อ

แม้ก่อนหน้านี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะมีการออกมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติม จังหวัดสีแดงเข้ม จาก 13 จังหวัดเดิม ขยับเพิ่มเป็น 29 จังหวัด แต่หากประเมินจากวิธีคิดและการดำเนินการของรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์ในขณะนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะต้องประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศ! หากรัฐบาลยังไม่ปรับกลยุทธ์ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดให้เดินเกมรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เพราะการล็อกดาวน์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคนไทยเริ่มออกอาการ “ดื้อยา” กับมาตรการล็อกดาวน์ เพราะขาดความเชื่อมั่นต่อการดำเนินการของรัฐบาล จนทำให้มาตรการล็อกดาวน์ที่เคยใช้ได้ผลในการระบาดครั้งก่อนๆ กลับไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการควบคุมการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ทำให้สิ่งที่รัฐบาลพูดและมาตรการต่างๆ กลายเป็นเพียง “น้ำลาย” ในเมื่อการจัดการไม่สามารถทำให้เกิดการล็อกดาวน์ที่มีประสิทธิภาพได้

สะท้อนออกมาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวัน ที่เพิ่มสูงขึ้นสวนทางมาตรการล็อกดาวน์อย่างเห็นได้ชัด ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ ก็จะยิ่งทำให้ผู้ติดเชื้อต่อวันพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับก่อนหน้านี้ นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลรามาธิบดี เคยออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ตอนนี้ประเทศไทยรายงานเคสเฉพาะเคสที่ยืนยันจาก PCR testing เท่านั้น ซึ่งมีปริมาณ test ที่ทำต่อวันจำกัด ทว่าถ้านับเคสที่ positive จาก Antigen test kit คิดว่ายอดจะขึ้นสูงไปมากกว่านี้ ซึ่งมีคนทำ simulation model ไว้ว่า ยอดจริงๆ อาจะมากกว่านี้ 8-9 เท่าเลย หรือยอดอาจจะสูงถึง 100,000 คนต่อวัน ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อ 20,000 คนต่อวันอาจจะเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น

นอกจากปัญหาการควบคุมการแพร่ระบาดแล้ว การเดินเกมรุกฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยทุเลาความรุนแรงของสถานการณ์ ก็ยังคงเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น แม้จะมีวัคซีนจากต่างประเทศบริจาคเข้ามา ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนในประเทศ และยิ่งกลายเป็นการกระตุกความเชื่อมั่นของรัฐบาลลงไปอีก เมื่อการบริหารจัดการวัคซีนหลายกรณีไม่ได้ดั่งใจประชาชน นอกจากนั้นยังเกิดดราม่าวัคซีน VVIP ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งฉุดรั้งความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลให้ติดลบลงไปอีก ซ้ำร้ายยังมีมิจฉาชีพหากินบนความเดือดร้อนของประชาชน โดยการหลอกขายยาฟ้าทะลายโจรปลอม และยาฟาวิพิราเวียร์ปลอม ซ้ำเติมสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วให้ย่ำแน่ลงไปอีก

ทั้งนี้เราจะต้องอยู่กับสถานการณ์เหล่านี้ไปอีกเป็นปี ทางที่ดีคนไทยจะต้องพึ่งตัวเอง (เพราะฝากความหวังกับใครไม่ได้!) ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด หยุดเชื้ออยู่บ้านเท่าที่จะทำได้ เพราะเข้าใจว่าทุกคนต้องทำมาหากินและไม่ใช่ทุกอาชีพที่จะทำงานแบบ “WORK FROM HOME” ได้ แต่ก็ต้องขอให้ทุกคนกัดฟันช่วยกันหยุดการแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุด

เพราะหลังจากนี้นอกจากวิกฤติโควิดแล้ว เรายังจะต้องเจอกับ “พิษเศรษฐกิจ” ที่จ่อกระแทกซ้ำอีก โดยหลังจาก “รัฐบาลบิ๊กตู่” ประกาศล็อกดาวน์ไปเพียง 29 จังหวัด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ออกมาประเมินว่าประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ที่ 0.7%จากเดิม 1.8% และยังมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการคุมการระบาดและเร่งผ่อนคลายมาตรการลดการเคลื่อนที่ซึ่งถ้าหากสามารถผ่อนคลายได้ไม่ช้าไปกว่าต้นไตรมาส 4/2564 ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่หดตัวในปีนี้ เมื่อมองจากการประเมินของ กนง.แล้ว หากหลังจากนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดไม่ได้ จนต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้จีดีพีติดลบ

ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นปีที่ 2 จากโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ส่งผลกระทบตลอดครึ่งปีหลัง จนมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ติดลบ 1.5% ถึง 0.0%

นอกจากนั้นยังต้องมาเจอกับบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มคุกรุ่นมากขึ้นทุกขณะ ทั้ง “การเมืองนอกสภา” ที่จะเห็นได้ว่ามีการเดินเกมรุกขยับเข้าไปจุดล่อแหลมประเด็นทะลุฟ้าอีกรอบ กรณีกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศเป้าหมายเคลื่อนไหวในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยนัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และมีแผนเคลื่อนพลไปพระบรมมหาราชวัง แม้งานนี้ม็อบหลายกลุ่มจะไม่เอาด้วย แต่การชุมนุมดังกล่าวก็ยังสามารถเรียกแขกเรียกแฟนคลับได้เป็นอย่างมาก เพราะผลพวงจากการกระทำของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เองที่ลดความน่าเชื่อถือ ฝากความหวังไม่ได้

ประกอบกับ “การเมืองในสภา” แม้ล่าสุดจะมีการโชว์ภาพ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม คุยกับแกนนำ 3 พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา แม้ภาพที่ออกมาจะสื่อถึงความเหนียวแน่นสยบรอยร้าวพรรคร่วมรัฐบาล แต่ก็อาจจะมีรอยร้าวลึกอยู่ภายใต้ภาพชื่นมื่นที่รัฐบาลอยากให้เห็นก็ได้

ขณะที่การเมืองในสภากลับเต็มไปด้วยความแตกแยก แต่ล่าสุดเป็นความแตกแยกในซีกพรรคฝ่ายค้าน ที่จู่ๆ พรรคเพื่อไทย พลิกเกมยกมือโหวตตัดคืนงบประมาณไปสู่งบกลาง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ตีเช็คเปล่า” ประเคนงบให้ “บิ๊กตู่” จนเกิดเป็นรอยร้าวระหว่าง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล  เพราะงานนี้แม้การตีกรอบงบกลางจะเป็นการใช้เพื่อแก้ปัญหาโควิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่ในแง่หนึ่งก็มีความกังวลว่าอาจจะเป็นการเปิดช่องให้นำงบในส่วนนี้ไปใช้กับการควบคุมฝูงชนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล เพื่อขัดขวางการชุมนุมประท้วง โดยอ้างว่าเป็นการควบคุมให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค

แน่นอนว่าปัญหารอยร้าวของพรรคฝ่ายค้าน ที่เกิดขึ้นอาจกระทบไปถึง “ศึกซักฟอกรัฐบาล” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่พรรคฝ่ายค้านตีปี๊บมาก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการระแวงกันเอง จนอาจจะกระทบการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรืออาจจะเสียทีในเวทีสภา จนทำเอามีดที่ลับรอซักฟอกรัฐบาลไม่คมกริบอย่างที่ควรจะเป็น อย่างที่ประชาชนคาดหวัง

เมื่อปัญหาโควิดยังวิกฤติ ปัญหาเศรษฐกิจทวีความรุนแรง การเมืองอ่อนไหว โอกาสที่เราจะเดินต่อไปข้างหน้าทุกย่างก้าวคือความเสี่ยง เหมือนการเดินอยู่บนปากเหวของสารพัดวิกฤติ ที่อาจจะพลาดตกลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ทั้งหมดทั้งมวลสะท้อนว่าเรายังอยู่ในวังวนที่ไม่ไปไหน ประชาชนยังอยู่ในความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ยังคงต้องกัดฟันต่อสู่กับโรคร้ายด้วยตัวของตัวเอง โดยที่จะฝากความหวังไว้กับใครไม่ได้เลย!

สุดท้ายโจทย์ยากที่รัฐบาลต้องแก้เพื่อเรียกแรงศรัทธากลับมา ก็คือการรีบจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน รวมทั้งการสกัดเชื้อโควิดไม่ให้ลุกลามมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงเข้มไปทั้งแผ่นดิน และแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแผนระยะยาวในการเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ดึงเงินเข้าประเทศ…ซึ่งอาจจะพูดได้ว่านี่คือ “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่รัฐบาลจำเป็นต้องเล่น ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.