เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ศาลอาญา นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วยนายนฤเบศ ปั่นแก้ว ผู้ได้มอบอำนาจจากพระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ยื่นฟ้องนายชาญณรงค์ เพียรดี อดีตไวยาวัจกรวัดสุทธิวราราม ที่ทำงานในช่วงปี 2558-2562 ซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “ร่วมกันปกป้องเงินวัดอย่าให้พวกกาฝากในผ้าเหลืองมาผาน” ในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจาก พระสุธีรัตนบัณฑิต ได้จัดระเบียบภายในวัด จัดตั้งคณะกรรมการในการเบิกจ่ายเงิน ทำให้นายชาญณรงค์ ไม่สามารถเข้าดูแลผลประโยชน์ด้านการเงินได้ และได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ อาทิสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, กองบังคับการบ้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถึง 3 ครั้ง และเรียกสื่อมวลชนมาทำข่าวถึง 2 ครั้ง ซึ่งตนได้เคยแถลงความจริงไปแล้ว แต่นายชาญณรงค์ ได้สร้างเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวขึ้นมา และเขียนบทความต่างๆ อีกทั้งใช้ภาพประกอบกล่าวหาใส่ร้ายพระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน กว่า 37 ครั้ง โดยกล่าวหาว่า ยักยอกเงินวัด จำนวน 95 ล้านบาท, บริหารงานวัดแบบแหกตาชาวบ้าน, ยักยอกเงินวัดนำเงินวัดจำนวนดังกล่าวไปซื้อที่ดิน ส.ป.ก.ที่ จ.สระบุรี, นำเงินไปซื้อที่ดินสร้างรีสอร์ทที่ จ.เชียงราย, ปล่อยให้มีการยักยอกเงินฌาปนกิจศพของวัด, ปล่อยให้สัปเหร่อที่เผาศพไม่หมดแล้วนำไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา, นำพระอุโบสถมาทำเป็นโรงหนังเป็นการเหยียบย้ำทำลายความรู้สึกของชาวพุทธ, ทำรายงานเท็จต่อคณะสงฆ์,บิดเบือนความจริง และกล่าวหาว่าพระสุธีรัตนบัณฑิต กับคณะสงฆ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งทั้งหมดเป็นความเท็จ โดยพระสุธีรัตนบัณฑิต ไม่เคยมีพฤติกรรมดังที่จำเลยได้กล่าวหา

ในส่วนประเด็นเงินจำนวน 95 ล้านบาท นายชาญณรงค์ ก็ทราบดีว่า ได้มีการเบิกจ่าย และจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดถูกต้องตามระเบียบคณะสงฆ์ โดยไม่ได้นำเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายส่วนตัว หรือยักยอกเงินเป็นของตนเอง ส่วนเงินที่นำไปซื้อที่ดินใน จ.เชียงราย เพื่อทำรีสอร์ทนั้น ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะปัจจุบันใช้พื้นที่แปลงนั้นใช้เป็นสถานปฏิบัติธรรมของวัดสุทธิวราราม ส่วนที่ดินแปลงที่นำมาทำรีสอร์ทก็เป็นทรัพย์สินเดิมของครอบครัว ไม่ใช่ทรัพย์สินของพระสุธีรัตนบัณฑิต ซึ่งเป็นคนละแปลงกัน และการปลดนายชาญณรงค์ ออกจากไวยาวัจกร ก็เพราะประพฤติตัวไม่เหมาะสม รวมถึงบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดไม่โปร่งใส ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งแต่อย่างใด ส่วนกรณีเผาศพไม่หมดแล้วนำไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยานั้น พระสุธีรัตนบัณฑิต ไม่เคยให้การช่วยเหลือนายกฤษฎา วงรัตน์ แต่จากการสอบสวนไม่พบการกระทำดังกล่าว และไม่มีญาติของศพรายใดมาร้องเรียนไม่เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมา ทางวัดสุทธิวราราม หรือโจทก์ได้ดำเนินการตามระเบียบของกรุงเทพหมานครอย่างเคร่งครัด อีกทั้งไม่พบเห็นพยานที่นายชาญณรงค์ อ้างว่าเป็นบุคลากรภายในวัดออกมายืนยันในกรณีนี้ ซึ่งการสอบสวนทั้งหมดคณะสงฆ์ทำไปโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ได้ให้การช่วยเหลือ ซึ่งพระสุธีรัตนบัณฑิต ก็ได้ชี้แจงพร้อมแนบเอกสารประกอบทุกครั้ง อย่างไรก็ตามการกระทำของนายชาญณรงค์ ที่โพสต์ข้องความดังกล่าวอันเป็นเท็จ ถือเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ทำให้พระสุธีรัตนบัณฑิต ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนที่ไม่ทราบความจริง เข้าใจผิดว่า เป็นพระไม่ดี มีเจตนาทุจริตยักยอกเงินวัด นอกจากนี้ยังพยายามกลั่นแกล้ง เพื่อให้โจทก์สึกออกจากการเป็นพระ โดยไม่มีความสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษ ส่วนมูลเหตุจูงใจที่ทำให้นายชาญณรงค์ บังอาจใส่ความพระสุธีรัตนบัณฑิตนั้น เป็นเพราะไม่พอใจที่ปลดออกจากไวยาวัจกร, ถูกตัดอำนาจบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัดสุทธิวรารามและถูกสั่งให้ปิดสถานนวดแผนโบราณที่ภรรยาของนายชาญณรงค์ เป็นเจ้าของร้านภายในวัด

ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรงสมควรที่ศาลจะลงโทษในสถานหนัก เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป และขอให้นายชาญณรงค์ลบโพสต์ ทั้ง 37 ครั้ง และให้ลงโฆษณาในสื่อฯ ทุกแพลตฟอร์มทั้งหมด 46 สื่อ โดยเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เมื่อถามถึงกรณีที่นายอนันต์ชัย ไชยเดช ได้โพสต์เฟสบุ๊กว่า มีคนแอบอ้างชื่อแล้วหลอกลวงคน ตนทราบว่า เมื่อปีที่แล้วมีคนถูกหลอกที่จังหวัดบุรีรัมย์ เสียเงินไป 10 กว่าล้าน ต่อมาก็มีคนอ้างว่า ตนมีสำนักสาขาที่อำเภอปลวกแดง และถูกเรียกไปไป 40,000 บาท เมื่อวานกลุ่มผู้เสียหายจากรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งจังหวัดชลบุรี เสียไป 6.5 ล้านบาท อ้างชื่อตนว่ารู้จักคนมีอำนาจทั้งผู้พิพากษา ประธานศาลฎีกา ดังนั้นจึงอยากฝากแจ้งทุกคนว่า ใครที่จะเป็นลูกความของตน ก็ต้องเจอตน รวมทั้งทนายของกองทัพธรรมด้วย และทนายของกองทัพธรรมไม่ได้เรียกเงินจากวัดใดๆ เป็นเงินที่ตนออกให้เอง มากกว่า 100,000 บาทแล้ว หากมีบุคคลใดอ้างงว่ามาจากกองทัพธรรมแล้วเรียกเก็บเงินจากวัด เจ้าอาวาส อย่าหลงเชื่อ ตนไม่ได้คิดเงิน แต่ทำเพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามเรื่องทนายกองทัพธรรมก็ดี เรื่องผมก็ดี ต้องเจอตัวผมเท่านั้น และกองทัพธรรมไม่เรียกเก็บตัง ทำฟรีสำหรับพระ ทำให้ฟรีเพื่อพระพุทธศาสนา ต่อไปนี้พระจะได้ไม่ถูกรังแก” นายอนันต์ชัย กล่าว