ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดกับสูตรนี้ คงหนีไม่พ้น พรรคการเมืองขนาดใหญ่ อย่าง “เพื่อไทย” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มีสายสัมพันธุ์กับพรรคเพื่อไทยแบบลับ ๆ แม้ว่า “บิ๊กป้อม” จะไม่ได้เป็นคนดีลเองก็ตาม  

มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมและทำให้การประชุมล่มนั้น จากคำกล่าวอ้างของ นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อชาติ ระบุว่า “ดีลลับระหว่าง 2 เผด็จการเพื่อล้ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โดยมีตัวละครที่เดินเรื่องคือน้องชายของ “บิ๊กป้อม” ที่มีชื่อที่ขึ้นต้นด้วย อักษร “พ.” ที่เป็นคนกุมบังเหียน”  

บวกกับกระแสข่าว “บิ๊ก ป.คนที่ 4” ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือเป็นคนที่กุมอำนาจตัวจริงคนหนึ่ง ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายวาระ มีคอนเนกชั่นกว้างขวาง อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดกับผู้มีมากบารมีคนหนึ่งในรัฐบาล และมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับ “โทนี่ วู้ดซัม” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 

เกมการเมืองนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า “เท่าที่ทราบมีคำสั่งมาเรียบร้อยแล้วว่าให้บรรดา ส.ส. และ ส.ว. นักเล่นเกมในอาณัติ ไปลงชื่อแล้วให้กลับบ้านได้ เพื่อใช้หลักเกณฑ์ของกฎหมายเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง” เช่นเดียวกับ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ที่ระบุในลักษณะเดียวกันนี้ ที่มองในลักษณะเดียวกันว่า “บิ๊กป้อม” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมรัฐสภาล่ม”

แม้ว่า “ป.คนที่ 1” นั่นก็คือ “บิ๊กป้อม” ได้มอบหมายให้ทีมงานฟ้อง ฐานนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพ์กับ นายพีระพันธุ์ กับ นายสมชัย ที่มีการพาดพิงต่อเรื่องนี้ แต่สุดท้ายแล้ว หาก “บิ๊กป้อม” ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสังคม ข้อครหาก็จบ หากยังนิ่งเสีย คนในสังคมก็คิดไปได้ไกล

ยิ่งกระแสพรรคเพื่อไทย ที่กำลังติดลมบน หันไปทางไหน ประชาชนก็ต้องการความเปลี่ยนแปลง การทำความเข้าใจกับประชาชน ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม