เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกระแสข่าวการยุบสภาฯ ภายหลังพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นหนังสือผ่านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า ไม่มีเหตุผลที่จะยุบสภาฯ เราก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพิจารณา ถ้าตั้งใจจะยุบสภาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่มีปัญหาอะไร สภาฯ ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ​ไปขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้เป็นเรื่องของสภาฯ เลย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภาฯ

“ผมไม่เชื่อว่าจะดำเนินการเช่นนั้น เพราะมันยังไม่น่าจะใช่ รอคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ รอคำวินิจฉัยไม่ดีกว่าหรือ มันมีทางออกตั้งหลายทาง ถ้าสมมุติว่ามันเลือกไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่มันเป็นอำนาจนายกฯ เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าไม่พ้นตำแหน่ง แต่สังคมทั่วไปรับรู้แล้วว่าท่านไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ”

เมื่อถามว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจยุบสภาจริง นายสมคิดกล่าวว่า เมื่อยุบสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำหน้าที่นายกฯรักษาการ และเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายเลือกตั้งเพื่อนำมาปฏิบัตินี่คือปัญหา หากจะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เลือกตั้งเองมันยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนกันว่าคุณเขียนกติกาเองออกเอง มันน่าจะสวยงามและสง่างาม

เมื่อถามว่าในวันที่ 23 ส.ค. นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจลาออกก่อนวันที่ 24 ส.ค.65 หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ถ้าจะให้ลาออก ยุบสภาจะดีกว่า เพราะการลาออกจะหลุดจากตำแหน่งทันที แต่ยุบสภายังรักษาการแล้วกว่าจะจัดการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่อีก 3-4 เดือน

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีสิทธิเสนอรายชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียวกันได้หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า แต่ละพรรคเสนอรายได้แคนดิเดตนายกฯ ได้ 3 รายชื่อ อาจจะเสนอคนเดียวก็ได้ แต่รายชื่อจะซ้ำกันไม่ได้ ทั้งนี้ พรรคการเมืองที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จะต้องมี ส.ส.อย่างน้อย 5% หรือ 25 ที่นั่งในสภาฯ ขึ้นไป

ทางด้าน นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ของการบริหารประเทศภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประเทศประสบปัญหาทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากการบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่พวกท่านเป็นคนยกร่างขึ้นมา มีการกำหนดวาระการตำแหน่งของนายกฯ ว่าจะดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ไม่ได้ ทว่า การเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับกลายเป็นข้อถกเถียงว่าจะเริ่มนับเมื่อไร จนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เข้าชื่อกันยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯ เพื่อดำเนินการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลง

“วันนี้สังคมเกิดข้อถกเถียงต่อประเด็นดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ดังนั้นเพื่อให้ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในสังคม รวมถึงความเสียหายจากการบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ดิฉันขอวอนให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในประเด็นนี้โดยเร็วก่อนวันที่ 24 ส.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นวันสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่“ นางพวงเพ็ชร กล่าว

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสข่าวยุบสภา ภายหลังพรรคฝ่ายค้านยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเวลาเราพูดถึงในทางการเมืองก็เป็นไปได้ทุกทางขึ้นกับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีจะตอบคำถามไม่ได้เลยในเรื่องการยุบสภาคือความขัดแย้งของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่ได้มีความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การยุบสภาแต่อย่างใด ทั้งนี้การยุบสภาก็ดีในแง่การคืนอำนาจให้ประชาชน แต่เวลานี้การแก้กติกาการเลือกตั้งคือร่างพระราชบัญญัติประกอบ (พ.ร.ป.) รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ยังไม่แล้วเสร็จ ถ้ายุบสภาจะใช้กติกาใด จะทำให้เกิดเดดล็อกทางการเมืองขึ้น ซึ่งนายกฯจะตอบคำถามนี้ไม่ได้เช่นกัน และไม่ควรใช้กลไกการยุบสภามาเป็นทางออก   

ที่สำคัญกว่านั้นเวลานี้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องใช้รัฐบาลตัวจริงในการแก้ปัญหา นายกฯ จะเอาเรื่องการดำรงตำแหน่งครบวาระ 8 ปี ซึ่งเป็นปัญหาส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับปัญหาของประชาชนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางออกมีวิธีการคือนายกฯ ลาออก หรือศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้มีการเลือกนายกฯ หรือนายกฯ รักษาการคนใหม่ ขึ้นมาทำหน้าที่แทน พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติมากกว่า