วันที่18 ส.ค. นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงมาตรการรับมือน้ำหลากว่า จากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้วางมาตรการไว้ 13 มาตรการ ให้บูรณาร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้านน้ำ เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์โดยจะต้องลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เกษตรกร ให้น้อยที่สุดในช่วงฤดูฝนที่มักจะเกิดน้ำหลาก น้ำล้นตลิ่งหลายพื้นที่ โดยกรมชลประทานดำเนินการ 11 มาตรการ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์จุดพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก น้ำท่วม รวมทั้งการกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำ ที่ช่วยลดน้ำหลากและต้องมองถึงปริมาณการใช้น้ำให้เพียงพอในฤดูแล้งด้วย การเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เสี่ยงโดยเร็ว สถานการณ์น้ำท่าในแม่น้ำลำคลอง ปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางลำน้ำ ขุดลอกคูคลอง เพื่อเร่งระบายได้สะดวก ตรวจสอบอาคารบังคับน้ำ ประตูระบายน้ำให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา พร้อมกับนำเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ไปติดตั้งไว้ล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยง

“นี่คือประสิทธิภาพของกรมชลประทาน เครื่องมือเครื่องจักรกลทั่วประเทศมี 6 พันหน่วย ได้กระจายไปตามภูมิภาค ถ้ามาดูเรื่องสถานการณ์น้ำวันนี้ ปริมาณฝนสะสม เฉลี่ยรอบ 30 ปี มากกว่าค่าเฉลี่ย 16% น่าสังเกตว่าปีนี้ฝนมาเร็ว อาจจะมากกว่าค่าเฉลี่ยที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ไว้ ซึ่งอีกหลายเดือนกว่าจะถึงเดือน ธ.ค. ทั้งนี้ในเรื่องของการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน ซึ่งมีมาตรการแล้วพร้อมกับมีการจัดคน เมื่อเรารู้พื้นที่เสี่ยง 700 กว่าจุด ทั่วประเทศจากพื้นที่ภาคเหนือจดภาคใต้ วิเคราะห์สถานการณ์ทุกวัน มีการแจ้งเตือน นำเครื่องไม้เครื่องมือไปเสริม บริเวณพื้นที่เสี่ยง “นายประพิศ กล่าว

อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เมื่อมาดูปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศมีกว่า 4 หมื่น ลบ.ม. โดบปริมาณน้ำ 4 เขื่อนใหญ่ลุ่มเจ้าพระยา มีน้ำใช้การมากกว่าปีที่แล้ว 4 พันล้าน ลบ.ม. โดยวันที่ 1 พ.ย. คาดการณ์ว่ามีน้ำ 9 พันล้าน ลบ.ม. มากกว่าปีที่แล้ว 7 พัน ลบ.ม. และปีนี้ฝนมาเร็วจากเดือน ม.ค. ถึงวันนี้ ปริมาณฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ย 16% ซึ่งจะใช้เขื่อนเจ้าพระยา เป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการน้ำ รับจากฝั่งซ้ายขวาไม่เกิน 200 ลบ.ม.ต่อวินาที วันนี้ได้สั่งปรับขยับการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา ลดต่ำลงเพื่อให้มีช่องว่างรับฝนที่จะมาอีกข้างหน้า รวมทั้งปริมาณน้ำที่ระบายลงมาก่อนถึงคลองชายทะเล จนออกอ่าวไทย เรามีเครื่องมือเร่งระบายน้ำพร้อมดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวถามกรณีประชาชนมีความกังวลน้ำจะท่วมใกล้เคียงปี 2554 นายประพิศ กล่าวว่า เราร่วมกันบูรณาการทำงานกับหน่วยงานอื่นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมชลประทาน เน้นการบริหารจัดการน้ำใช้วิธีแบบประณีต การระบายน้ำต้องดูทั้งหมด ปริมาณกักเก็บน้ำในเขื่อน ปริมาณน้ำท่า ปริมาณฝนตกรายเดือน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ การปล่อยน้ำ ที่ต้องคำนึงถึงต้องมีน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง

“น้ำท่วมเกิดจาก 3 น้ำ คือ น้ำฝน น้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน หากเปรียบเทียบปี 54 พายุมากี่ลูก น้ำเหนือระบายมาเท่าไหร่ และปริมาณน้ำวันนั้นมีมากเท่าไหร่ นำมาเปรียบเทียบกับวันนี้ เรามีบทเรียนที่ผานมา มาปรับใช้ เพื่อนำมาวางแผน เตรียมความพร้อม เผชิญเหตุอย่างไร รวมทั้งรับนโยบายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ มาปฏิบัติ โดยได้เน้นย้ำให้กรมชลประทาน ดูแลพี่น้อง ประชาชน เกษตรกร เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องดูแลกัน พูดคุยกัน สร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งกรมชลประทาน ไม่อยากให้เกิดน้ำท่วมกับใครเลย และเราต้องไม่ประมาท“ นายประพิศ กล่าว

อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการระบายน้ำจะพยายามไม่ให้กระทบพื้นที่เพาะปลูก นาข้าวลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ อ. ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา กว่า 3 หมื่นไร่ ไม่กระทบ โดยช่วงหลังเกี่ยวข้าวแล้วการพิจารณาในเรื่องผันน้ำเข้าทุ่ง จะเป็นลำดับสุดท้าย ได้มีเกณฑ์ว่าหากปริมาณน้ำที่ อ.บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถ้ามีระดับน้ำไหลผ่านสูงสุด 3.4- 3.5 พัน ลบ.ม.ต่อวินาที และถ้าน้ำหลากข้างบนยังมีอยู่มาก จึงนำน้ำเข้าทุ่ง

“ขอให้เกษตรกรสบายใจได้ โดยเขื่อนเจ้าพระยา ระบายน้ำมากว่า 1.3 พัน ลบ.ม.ต่อวินาที เราให้มีผลกระทบน้อยที่สุด หลังเก็บเกี่ยวแล้วจึงเพิ่มการระบาย ให้มีพื้นที่เหนือเขื่อนรองรับน้ำได้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าพายุ จะมาอีก 2 ลูก เราติดตามพยากรณ์กรมอุตุนิยมวิทยา ตลอดเวลา เราบริหารจัดการน้ำหน้าฝน เผื่อไว้ช่วงฤดูแล้งด้วย ช่วงเดือนกันยายน ที่บอกว่าจะเข้า 2 ลูก ตอนนี้ยังไม่มีทิศทาง ว่าจะเข้าประเทศไทยด้านไหน ส่วนเดือ ส.ค.เข้าแแล้ว พายุมู่หลาน เข้าทางภาคเหนือ เป็นผลดี เพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนเพื่อขึ้น ทุกพื้นที่ผมได้สั่งให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง พวกเราทำงานไม่มีวันหยุด ทั้งอธิบดี รองอธิบดี ทำงานตลอดเวลา เพื่อรับมือสถานการณ์น้ำ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ กรมชลประทาน ได้ประชุมร่วมกับกทม.ทุกวันจันทร์ วางมาตรการเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำ ในเรื่องการระบายน้ำพื้นที่รอบกรุงเทพ ลงอ่าวไทย ผ่านคลองระพีพัฒน์ ไปลงแม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง ถ้าลงมาถึงคลองแสนแสบ มีสถานีบางขนาด สูบออกไปลงแม่น้ำบางปะกง ลงคลองชายทะเล หลายพื้นที่เราติดตั้งเครื่องมือพร้อมไว้แล้ว ขอให้มั่นใจ ปริมาณน้ำที่มารอบนอกกรุงเทพ จะระบายออกได้โดยเร็ว

อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอีกด้วยว่า สถานการณ์น้ำปีนี้ไม่เหมือนปี 2554 ขณะนั้น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำเต็มต้องระบายน้ำออก ตอนนี้เขื่อนใหญ่ 4 เขื่อนยังรับน้ำได้อีก 1.2 หมื่นล้าน ลบ.ม. หากฝนตก จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สามารถลงเขื่อนภูมิพล และอีก 3 เขื่อนหลักยังรับได้ ทั้งเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ เขื่อนป่าสักฯ มีช่องว่างรองรับ ฝนเดือน ก.ย.-ต.ค.

“เรามีประสบการณ์การบริหารจัดการน้ำ สั่งสม จากรุ่นพี่รุ่นน้องพร้อมกับเครื่องมีความทันสมัยมากขึ้น คาดว่าวันที่ 1พ.ย. มีน้ำใน 4 เขื่อนหลัก 9 พันล้าน ลบ.ม. ปริมาณฝนปีนี้ใกล้เคียงปี 52 และโจทย์ที่ให้ทีมงาน ให้ใช้นโยบาย รมว.เกษตรฯ ดูแลประชาชนเหมือนครอบครัวเดียวกัน อีกทั้งสร้างการมีส่วนร่วมไม่ใช้น้ำมากเกินไปในกิจกรรมต่างๆ สองปีที่ผ่านมายังได้บริหารจัดการน้ำ ผ่านหน้าแล้งมาได้ ไม่มีปัญหาน้ำเค็มกระทบระบบประปาของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดไม่มีพื้นที่ภัยแล้ง เป้าหมายในปี 2580 จะมีน้ำจากการพัฒนาแหล่งน้ำ เพิ่มขึ้น 1.3 หมื่นล้าน ลบ.ม. และพื้นที่ชลประทาน 1.9 ล้านไร่ เพิ่มศักยภาพแหล่งกักเก็บน้ำเดิม พัฒนาแหล่งน้ำใหม่ การบริหารน้ำแบบประณีตมากขึ้น ลงไปพูดคุย กับชาวบ้าน สร้างความเข้าใจ สร้างความศรัธรา เมื่อเกิดขึ้นปัญหายุติดด้วยการเจรจา ผมเป็นลูกชาวนา รู้ประหยัดน้ำทำอย่างไร ถ้าใช้น้ำพอดี ทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ข้าวจะแตกกอมากขึ้น ลดค่าปุ๋ยได้ด้วย“ นายประพิศ กล่าว