เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 ส.ค. ที่ห้องประชุมสามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ 1 ชั้น 5 เขตปทุมวัน มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (The Intelligent Traffic Information Center Foundation หรือ iTIC) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กรมการขนส่งทางบก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และสมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทย จัดงานสัมมนา “3rd iTIC FORUM 2022: Data-Driven Mobility & Road Safety” เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมการใช้ข้อมูลของมูลนิธิฯ ตลอดจนสร้างเครือข่ายในการใช้ประโยชน์จากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เพื่อการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางถนน โดยมี นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกล่าวปาฐกาถาและร่วมเสวนาในหัวข้อ การใช้ข้อมูลขับเคลื่อนความปลอดภัยบนถนนในกรุงเทพ : เมืองน่าอยู่

ซึ่งก่อนเริ่มงานนั้น นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน สัมมนา “3rd iTIC FORUM 2022: Data-Driven Mobility & Road Safety” และมอบทุนการศึกษาให้แก่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย
นายนินนาท กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน มีรถยนต์จดทะเบียนสะสม 19 ล้านคัน โดย 7 ล้านคัน อยู่ในกรุงเทพฯ และมีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสม 22 ล้านคัน โดยมี 4 ล้านคัน อยู่ในกรุงเทพฯ มีถนนรวมทั้งประเทศกว่า 700,000 กม. โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยประมาณ 60 รายต่อวัน สูงเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และติด 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งการก่อตั้ง iTIC ขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จึงตั้งใจให้เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลจราจร เพื่อให้ทุกภาคส่วนมานำไปต่อยอด และช่วยภาครัฐกระจายข้อมูลด้านการคมนาคมและขนส่ง โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือเพื่อใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการการจราจร และเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งที่ผ่านมามีการแชร์ข้อมูลเป็นที่แพร่หลาย และได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนวงการวิชาการแต่ก็ยังคงต้องพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในยุค Digital Disruption คือ การนำข้อมูลที่มีมาสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ

จึงทำให้เกิดงาน iTIC forum ขึ้นครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน และครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทางกรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กรมการขนส่งทางบก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทยและเครือข่ายต่างๆ จัดงานขึ้นอีกครั้งหลังจากหยุดไป 2 ปีเนื่องจากสถานการณ์โควิด
โดยหลังจากการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลและระดมความคิดในงานวันนี้แล้ว เราก็จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับตำรวจนครบาลและกรุงเทพมหานครเลือก 20 จุดเสี่ยง คือจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งจากฐานข้อมูลที่มีการเก็บข้อมูลรถ ต่อยอดเป็น Pilot Model ในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุให้ตรงจุด ซึ่งเราได้มีทดลองทำไปบ้างแล้วในจ.ฉะเชิงเทรา โดยรวบรวมและเชื่อมข้อมูลจากกล้อง CCTV ลงบอลออนไลน์แพลตฟอร์มเพื่อให้ประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงและนำไปใช้ศึกษาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ทั้งนี้ สำหรับความร่วมมืออันดีในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยให้ประเทศไทยมีข้อมูลจราจรเป็นของตัวเอง ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาจากความสามารถของคนไทย

ขณะที่ นายวิศณุ กล่าวภายหลังงานสัมมนาว่า ตั้งแต่ที่เริ่มเข้ามาบริหารงานก็ได้เริ่มหาข้อมูลว่ามีหน่วยงานใดในประเทศไทยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุเก็บไว้บ้าง ก็ได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจาก มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (The Intelligent Traffic Information Center Foundation) หรือ iTIC ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานวันนี้ และ Thai RSC ที่มีฐานข้อมูลอุบัติเหตุซึ่งเก็บไว้หลายปีแล้วและมีความละเอียดมาก กทม.จึงใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวตั้งต้นในการวิเคราะห์จุดเสี่ยงว่า จุดเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร หลักๆเกิดที่ไหนบ้าง หลังจากนั้นจึงส่งทีมเข้าไปดูเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดอุบติเหตุว่า เกิดจากความบกพร่องทางกายภาพ หรือเกิดจากสิ่งใด และ กทม.สามารถแก้ไขสิ่งใดได้ทันที หรือ กทม.ต้องไปปรับปรุงเชิงกายภาพอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ กทม.กำลังดำเนินการอยู่

หน้าที่ของ กทม.คือปรับปรุงกายภาพให้ดี ดังนั้นเราจึงใช้ข้อมูลชุดนี้เป็นจุดตั้งต้น ส่งทีมไปวิเคราะห์กายภาพ แต่ทั้งนี้หากกายภาพดีแต่บางครั้งอุบัติเหตุอาจเกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ด้วย จึงกลายเป็นขั้นตอนต่อมาในการวิเคราะห์เชิงลึกว่าถ้ากายภาพสมบูรณ์แล้วแต่อุบัติเหตุยังมีอยู่เพราะอะไรถ้าเกิดจากผู้ขับขี่ จะมีวิธีการอย่างไร เช่น อาจใช้ระบบการเตือน Traffic Timing หรือการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นขึ้น โดยร่วมกับตำรวจจราจร ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีกล้องในการจับผู้กระทำความผิด หรือวินัยจราจร ทั้งนี้การลดอุบัติเหตุหากจะให้ดีต้องเริ่มจาก 1.การปรับปรุงกายภาพให้ดี และ 2.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ขับขี่ ดังนั้นหลังจากนี้สิ่งที่ กทม.จะทำเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุให้น้อยลงได้คือ การทำกายภาพให้สมบูรณ์ ไม่มีความบกพร่อง ช่วยบรรเทาเรื่องพฤติกรรมคนขับ ซึ่งถือว่าจะช่วยบรรเทาได้และหากทำได้ตามนี้คาดว่าตัวเลขเรื่องอุบัติเหตุอาจจะลดลง
นายวิศณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้สิ่งที่ กทม.จะดำเนินการร่วมกับ iTIC มี2 เรื่อง คือ 1.เรื่องจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ ซึ่งปัจจุบัน กทม.ได้ข้อมูลจาก iTIC มาเรียบร้อยแล้วและนำไปวิเคราะห์เพื่อเป็นตัวตั้งต้นในการปรับปรุงจุดเสี่ยง 2.เรื่องรถติด ซึ่ง กทม.ได้นำข้อมูลการใช้รถในถนนเส้นต่างๆ จุดคอขวดต่างๆ ซึ่งทาง iTIC ก็ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นให้เรา โดยในเดือนกันยายนนี้ซึ่งเป็นนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ที่จะมุ่งเน้นแก้ปัญหารถติด จุดคอขวดต่างๆ นั้น กทม.ก็จะข้อมูลที่ได้มาเป็นตัวตั้งต้นเพื่อลงไปสำรวจหาสาเหตุ ที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยจะเร่งสำรวจแก้ไขปัญหาจุดฝืด-จุดรถติด โดยมีการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นจุดนำร่องในการแก้ปัญหา สำหรับการแก้ปัญหาจราจรตั้งเป้าไว้ 100 จุดฝืด-จุดรถติด และแก้ไขปัญหาลดอุบัติเหตุ 100 จุดเสี่ยง.