เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการทหารฯ กรณีตรวจสอบประเด็น ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม ผู้บังคับหมู่กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 ปัจจุบันช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำทารุณกรรมอดีตทหารหญิง ว่าจากการชี้แจงของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า มี 2 ประเด็นคือกรณีของ ส.ต.ท.หญิงกรศศิร์ และกรณี ส.ท.หญิง ปัทมา ศิริรัตน์ อดีตทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งการบรรจุเข้ารับราชการตำรวจของ ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ เกิดขึ้นในปี 60 คงต้องไปคำนวณกันเองว่าในปีนั้นใครเป็น ผบ.ตร.

โดยเท่าที่ทราบจะมีคณะกรรมการสอบสัมภาษณ์ ดังนั้น กมธ.คงต้องขอเรียกขอดูเอกสารการสอบสัมภาษณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม และหลังจากบรรจุแล้ว เดือน ก.พ.65 ได้ย้ายไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าด้วยความสมัครใจ แต่ปรากฏว่าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข ทางหน่วยจึงได้เรียกเงินคืนสิทธิประโยชน์ ในส่วนของเบี้ยเสี่ยงภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประมาณ 1.1 แสนบาท แสดงว่าเจ้าตัวไม่ได้มีการปฏิบัติหน้าที่จริง โดยต้นสังกัดคือตำรวจสันติบาลต้องมีหนังสือชี้แจงเรื่องการไปช่วยราชการ เพราะถือว่ามีการรับเงินเดือนซ้ำซ้อน

ส่วนกรณีของ ส.ท.หญิง ปัทมา บรรจุเข้ารับราชการที่โรงเรียนฝีมือช่างทหาร เป็นพนักงานธุรการ จากนั้นในปี 62 คณะกรรมาธิการวุฒิสภาได้เรียกให้ไปช่วยราชการทันที โดยทำหนังสือ 2 ครั้ง ในปี 62 และปี 63 ระบุจนกว่าการช่วยราชการจะสิ้นสุด ซึ่งยังต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยกรรมาธิการฯ ได้ขอหนังสือเพิ่มเติมไปว่าหนังสือดังกล่าวที่ขอช่วยราชการมีลักษณะเป็นแบบใด จึงสอบถามไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าการบรรจุแต่งตั้งคัดเลือก ส.ท.หญิง ปัทมา ที่โรงเรียนช่างฝีมือทหารก็สามารถตรวจสอบได้ เพราะอยู่ภายใต้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย โดยปี 61 พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ เป็น ผบ.ทสส. โดยกรรมาธิการฯ ขอข้อมูลเพิ่มเติมว่าคณะกรรมการที่สอบสัมภาษณ์ครั้งนั้นมีกี่คน เปิดรับสมัครจำนวนเท่าใด มีเงื่อนไขใด รวมทั้งข้อคิดเห็นเหตุผลว่าทำไมถึงรับ ส.ท.หญิง ปัทมา

อีกทั้งต้องตรวจสอบว่าคณะกรรมาธิการวุฒิสภามีการออกเงินเดือนในระหว่างปฏิบัติช่วยราชการหรือไม่ เพราะปกติการขอตัวช่วยราชการทางต้นสังกัดต้องมีหนังสืออนุมัติ เพราะต้นสังกัดเดิมยังต้องจ่ายเงินเดือน จึงต้องดูการเกษียณหนังสือเป็นอย่างไร และกรรมาธิการฯ ได้ถามถึงสาเหตุที่ลาออกจากราชการ โดยเจ้ากรมกำลังพล กองบัญชาการกองทัพไทยชี้แจงว่ามีการยื่นลาออกตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.65 และอนุมัติวันที่ 11 ส.ค.65 ตนจึงถามว่าเอกสารดังกล่าวมีการทำย้อนหลังหรือไม่ โดยทางกรรมาธิการได้ขอภาพวงจรปิดและขอตรวจสอบเอกสารลายเซ็นจริงว่ามีการเซ็นมาแล้วกี่วัน มีการเซ็นย้อนหลังหรือไม่ ซึ่งทางเจ้ากรมฯ มีอาการอึกอักตอบไม่ชัดเจนเท่าไหร่ และขอส่งข้อมูลให้กรรมาธิการในสัปดาห์ถัดไป

นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่า ทางกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า การบรรจุแต่งตั้งข้าราชการที่จบปริญญาตรี หากเป็นไปได้ขอให้ยกเลิกการสอบสัมภาษณ์ทั้งหมด โดยขอให้เป็นการสอบข้อเขียนล้วนเหมือนการสอบเข้าชั้นมัธยมปีที่ 1 และมัธยมปีที่ 4 เพื่อไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ เพราะการสอบคัดเลือก ปกติจะมีการสอบคุณวุฒิและการสอบสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนายทั้งหมด จึงเป็นการสกัดการคอร์รัปชั่นในการฝากได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีอัตรากำลังจร ซึ่งเป็นการช่วยราชการจากส่วนต่างๆ 54,100 นาย โดยแยกเป็นทหาร 29,000 นาย ตำรวจ 15,000 นาย และพลเรือนประมาณ 9,000 นาย โดยตนขอให้ตรวจสอบว่าอัตราดังกล่าวมีการปฏิบัติราชการจริงจำนวนเท่าใด และมีกี่เปอร์เซ็นที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้จริง เอาชื่อมาไว้เฉยๆ เพื่อกินเงินเดือน

โดยทางตัวแทน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งว่าต้องใช้เวลาตรวจสอบเพราะมีจำนวนมาก ทั้งนี้กรรมาธิการฯ ได้เสนอแนะข้อเสนอแก้ปัญหาระยะยาวคือการเปิดให้สอบข้อเขียน 100% แต่การสอบทุจริตต้องมีการสอบเพิ่มเติมทั้งการสอบบรรจุแต่งตั้งของทั้งคู่ โดยตรวจสอบจากคณะกรรมการลับที่สอบสัมภาษณ์และอดีต ผบ.หน่วยต้นสังกัดของทั้งสองคนว่า ณ วันนั้นมีการโทรศัพท์มาฝากกันหรือไม่ หรือมีการเข้าไปโดยระเบียบปกติ โดยเฉพาะอดีต ผบ.ทสส.สมัยนั้น ได้รับโทรศัพท์จากใครหรือไม่ เพราะท่านเป็น สนช.ด้วย ซึ่งรายละเอียดบางอย่างตนไม่สามารถเปิดเผยตอนนี้ได้ เพราะต้องมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เนื่องจากเราได้ซักถามแบบตรงๆ หากให้สัมภาษณ์ออกไปอาจโดนข้อหาหมิ่นประมาทได้ เพราะในห้องกรรมาธิการมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่นอกห้องไม่มี

“ขณะนี้การชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องมีความขัดแย้งบางประเด็น เช่นเมื่อสมัครไปราชการแต่การตรวจสอบคุณสมบัติยังไม่เสร็จ กลับจ่ายเงินเดือนไปแล้ว โดยทางทหารมีอาการอึกอักมาก อีกทั้งใบลาออก็ยังงงว่า ส.ท.หญิง ปัทมา ได้รับเงินเดือนถึงเดือน ส.ค. แต่บอกว่าลาออกตั้งแต่เดือน พ.ค. แล้วยังบอกว่าจะเรียกเงินเดือนคืนอีก 2 เดือน ผมจึงสงสัยว่าตกลงมันยังไงกันแน่ ตกลงน้ำหมึกมันแห้งหรือยัง อย่างไรก็ตามทางกรรมาธิการทหารฯ ได้ขอเอกสารเพิ่มเติมจากทางวุฒิสภา แต่เขาจะให้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง เพราะคนละอำนาจกัน ก็แล้วแต่เขา หากเขามีสำนึกก็คงจะให้ ถ้าไม่มีลับลมคมในอะไร แต่ถ้ามีลับลมคมในก็อาจจะดึงเอกสารให้อาทิตย์ละใบ กลัวว่ากว่าจะได้เอกสารครบก็ยุบสภาพอดี ถือเป็นเทคนิคในการดึงหน่วย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะระบบราชการก็เป็นแบบนี้ ช่วยกันปกปิดความผิด ทำดีก็ช่วยกันโฆษณา ทำชั่วก็ช่วยกันปกปิด” นายมงคลกิตติ์ กล่าว