จากกรณีวันที่ 9 ส.ค. ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยสื่อมวลชนผู้ได้รับผลกระทบจากการเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา นำโดยผู้สื่อข่าวจาก voice TV, the matter และPlus Seven เดินทางเข้ายื่นคำร้องขอให้ศาลคุ้มครองฉุกเฉินอีกครั้ง เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยการชุมนุมต่อจากนี้ที่มีแนวโน้มอันสามารถคาดหมายได้ว่าจะได้รับความเสียหายจากการใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐต่อไป

โดยคำร้องขอคุ้มครองดังกล่าวคือ

  1. ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้ความรุนแรง เช่น ใช้อาวุธปืนกระสุนยาง แก๊สน้ำตา ฉีดน้ำผสมสารเคมี ทำร้ายร่างกาย โจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนที่สวมปลอกแขนสีขาวหรือสัญลักษณ์อื่นที่แสดงว่าเป็นสื่อมวลชน รวมทั้งประชาชนผู้มาชุมนุม หรือกระทำการใดอันเป็นการขัดขวาง คุกคาม ข่มขู่ จำกัดพื้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน
  2. ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน สั่งการเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน
  3. ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน และเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนสลายการชุมนุมโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และหลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เนื่องจากโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนย่อมได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมด้วย

ด้านนาย สัญญา เอียดจงดี ทนายความภาคีนักกฏหมายสิทธิมนุษยชน บอกว่าวันนี้เป็นการมายื่นให้ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอีกครั้ง หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนจะมีการชุมนุมวันที่ 7 ส.ค ตนและสื่อมวลชนได้มายื่นไปแล้ว 1 ครั้งแต่ศาลกลับยกคำร้อง ด้วยเหตุผลที่ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลว่าจะมีการสลายการชุมนุมโดยความรุนแรงและยังคงเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ส.ค.นั้น มีการใช้ความรุนต่อสื่อมวลชนและประชาชนเกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าการร้องศาลครั้งนี้จะมุ่งไปยังการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน รวมถึงประชาชนก็จะได้รับการคุ้มครองไปด้วย

ต่อมาศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวไต่สวนพยานโจทก์ทั้งสองได้ 7 ปาก ระหว่างซักถามทนายโจทก์ทั้งสองอ้างส่งเอกสารและภาพถ่ายหลายฉบับ เอกสารให้รวมสำนวน ทนายโจทก์ทั้งสองแถลงติดใจนำพยานเข้าไต่สวนเพียงนี้ คดีเป็นอันเสร็จการไต่สวน ให้นัดฟังคำสั่งวันที่ 10 ส.ค.64 เวลา 13.30 น.