จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบศพ น.ส.วราพร (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี พนักงานโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกคนร้ายใช้เสื้อผ้ารัดคอ ใช้ของแข็งทุบที่ศีรษะจนเสียชีวิต แล้วศพทิ้งลงในคลองบางพระครู หมู่ที่ 3 ต.ตาลเอน อ. บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคนร้ายได้เผาเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตเพื่อทำลายหลักฐาน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาผลการตรวจสอบชันสูตรพบผู้เสียติดเชื้อ “โควิด-19” ทำให้ต้องเร่งเผาศพก่อนกำหนด ภายหลังฝ่ายสืบสวนพบว่า นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี คนงานก่อสร้างใกล้กับจุดเกิดเหตุ ต้องสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรในคดีนี้ จึงไปคุมตัวมาสอบสวน กระทั่งเปิดปากรับสารภาพ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

จับแล้ว!มือฆ่าเปลือยฉันทนาสาวสวยทิ้งคลอง เป็นโจ๋วัยแค่18ปี หิ้วเค้นสอบรับสารภาพ

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีกลุ่มญาติของวัยรุ่นที่เป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าสาวโรงงาน ขอเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดย นายเอ ยังคงมีอาการเครียดนั่งก้มหน้าไม่ยอมพูดคุยกับใคร ภายหลังแม่และพี่สาวของ นายเอ ร่วมกันเปิดเผยทำนองว่า ไม่อยากเชื่อว่า นายเอ จะก่อเหตุเช่นนี้ได้ ตนติดตามข่าวนี้และรู้สึกสงสารครอบครัวของผู้เสียชีวิต รู้สึกตกใจมากตอนที่ตำรวจมาจับกุม นายเอ ถึงแคมป์คนงานก่อสร้าง หลังเกิดเหตุเคยสอบถามว่าไปเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่ นายเอ ก็ตอบว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ไปใกล้ที่เกิดเหตุ ปกติเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรกับใคร ตั้งแต่เกิดเหตุก็ทำงานใช้ชีวิตปกติ ไม่มีความผิดปกติอะไร ขนาดตำรวจมาถึงยังไม่แสดงอาการอะไรเลย จนตำรวจสอบสวนถึงได้รับสารภาพ

ขณะที่ญาติของหญิงสาวผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมาที่โรงพักเพื่อดูหน้าคนร้าย ภายหลังเปิดเผยว่า ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามจับกุมคนร้ายได้ แต่ตนไม่คิดว่า นายเอ จะก่อเหตุเพียงคนเดียว

รายงานการสอบสวนในเบื้องต้นระบุว่า นายเอ ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือกระทำเพียงคนเดียว โดยอ้างว่า วันเกิดเหตุกินเหล้าอยู่ที่แคมป์คนงานก่อสร้าง พอหัวหน้างานให้ไปซ่อมรถแบ๊กโฮ จึงได้ขี่ จยย.ไปซ่อมรถ ระหว่างทางพบเห็นผู้เสียชีวิต เป็นสาวโรงงานขี่ จยย.ผ่านมา พอเห็นว่ารูปร่างหน้าตาดีจึงเกิดอารมณ์ทางเพศ อยากข่มขืน จึงขี่ติดตามไปจนทันก่อนจะถีบให้รถล้ม แล้วก็เข้าไปทำร้ายร่างกายซ้ำจนสลบ

จากนั้นอุ้มนำร่างพาดกับถังน้ำมัน จยย. พามาถึงริมคลองที่เปลียว จับถอดเสื้อผ้ากำลังจะข่มขืน ปรากฏว่าอีกฝ่ายได้สติฟื้นขึ้นมา จึงเกิดการต่อสู้กัน โดยนายเอได้ใช้ก้อนหินทุบที่ศีรษะจนแน่นิ่งไป ตอนนั้นคิดว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตแล้วจึงกระชากเอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทติดมือมาด้วย ส่วนโทรศัพท์มือถือโยนทิ้งน้ำในคลอง พร้อมกับลากร่างหญิงสาวทิ้งลงไปในคลองอำพราง พอกลับมาแคมป์ ก็นำเอาสร้อยคอไปซ่อนด้านหลังที่พัก ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า ถ้าเหยื่อไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมาก็คงไม่ฆ่า โดยตำรวจสามารถติดตามเอาสร้อยดังกล่าวคืนมาได้แล้ว จึงถือเป็นหลักฐานในการมัดตัวคนร้ายรายนี้นั่นเอง.