เมื่อวันที่ 7 ต.ค. น.ส.จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. เขตบางรัก และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจของการกราดยิง 38 ศพ ใน จ.หนองบัวลำภู ซึ่งผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นเด็กผู้ไร้เดียงสา สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนทั่วไปอย่างมาก สาเหตุหลักที่ปฏิเสธไม่ได้และเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือการปราบปรามยาเสพติดล้มเหลว จนมีการจำหน่ายยาเสพติดแพร่กระจายในราคาถูก จึงนำมาสู่เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดนี้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเร่งแก้ปัญหายาเสพติด พร้อมกับเร่งรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะถาโถมเข้ามา

ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย.65 อยู่ที่ 6.41% แม้จะลดลงจากเดือน ส.ค. แต่ยังสูงมาก โดยราคาพลังงานพุ่งขึ้นถึง 16.1% และราคาอาหารสดพุ่งขึ้นถึง 10.97% ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ประชาชนต้องกินต้องใช้ และปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีอาจสูงถึง 5.5-6.5%

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 0.75% เป็น 1.0% แต่ยังห่างกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่ 3.0% ถึง 3.25% ทำให้ค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าและธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีนี้ อาจจะขึ้นถึง 4.25% ถึง 4.5% ถ้าเงินเฟ้อของสหรัฐยังไม่ลดลง และสหรัฐอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีหน้า ดังนั้นภายในปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย กนง. อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อให้ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐ ไม่ห่างกันนัก อย่างไรก็ตาม การควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของการเช่าซื้อให้เหลือ 23% แม้เป็นเจตนาดี แต่อาจจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะจะกู้ซื้อรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ได้ยากขึ้น อาจจะต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบกันมากขึ้น

นอกจากนี้การส่งออกเดือน ส.ค.65 ขยายตัวได้ 7.5% แต่การนำเข้าของไทยขยายมากกว่า ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเดือน ส.ค.65 ถึง 4,215.4 ล้านดอลลาร์ เป็นการขาดดุลการค้าที่มากติดต่อกัน 2 เดือนแล้ว (เดือน ก.ค.ขาดดุล 3,660.5 ล้านดอลลาร์) ทำให้ยอดขาดดุลการค้าตั้งแต่ต้นปีพุ่งถึง 14,131.7 ล้านดอลลาร์ และภายในสิ้นปีนี้น่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย เพราะการท่องเที่ยวไม่ได้เข้ามาตามที่คาดกันไว้

อีกทั้งงบประมาณปี 66 รัฐบาลยังจะมีแผนที่จะกู้เงินทั้งหมดสูงถึง 1.05 ล้านล้านบาท ทั้งๆ ที่ผ่านมา การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมากจนต้องขยายเพดานจาก 60% เป็น 70% แต่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ประชาชนกลับจนลง หนี้สาธารณะจะพุ่งสูงมากและอาจขยายเพดานกันอีก ดังนั้น การขาดดุลการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ช่วงห่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐ จะทำให้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอยู่แล้วจะอ่อนค่าลงอีกได้

ดังนั้นจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกซึ่งอาจจะขึ้นถึง 2% ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นภาระเพิ่มเติมให้กับประชาชนที่มีหนี้ครัวเรือนอยู่ถึง 15 ล้านล้านบาท ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกมาก คนผ่อนบ้าน คนผ่อนรถยนต์ คนติดหนี้ธุรกิจ ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น อาจทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นได้ รวมถึงดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะของรัฐที่รัฐจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นแสนล้านบาทด้วย นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ยังคงสูงอยู่ อาจไม่ลดลงได้ง่ายๆ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่จะต้องเพิ่มขึ้นอีกจากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาดของรัฐบาล และราคาน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นจากการลดการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส และที่สำคัญเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้าตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แล้ว

“ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อยากให้รัฐบาลที่จะพยายามยื้ออยู่ในอำนาจต่อไปได้ทำความเข้าใจ และเตรียมรับมือ การแก้ปัญหาน้ำท่วม พล.อ.ประยุทธ์ ยังคิดได้แค่จะใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ที่คนรุ่นใหม่ไม่มีใครรู้จักแล้ว และยังไม่รู้เลยว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน สะท้อนวิสัยทัศน์ที่หลงยุค ไม่สอดรับกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ก็คงยากจะรับมือเรื่องยากๆ ที่ได้อธิบายนี้ หากทำไม่ได้ ควรคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพี่อให้คนไทยได้มีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่จะรับมือและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ อย่าทำให้ประเทศบอบช้ำไปมากกว่านี้เลย” น.ส.จุฑาพร กล่าว