เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงถึงกิจกรรม Car Park ในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ว่า เรากำหนดจุดนัดหมายในวันดังกล่าวทั้งสิ้น 3 จุด รวมกับพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และผู้ได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสจากการบริหารบ้านเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจังหวัดก็จะมีจุดนัดหมายในพื้นที่ของตัวเอง โดยนัดพร้อมกันในเวลา 14.00 น. หลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อม จะเคลื่อนขบวนพร้อมกันในเวลา 15.00 น. การเคลื่อนขบวนจะยกระดับโดยมีการปราศรัย แสดงดนตรี ถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูบ คลับเฮาส์ และทุกๆ ช่องทางที่กระจายภาพและเสียงได้ โดยเคลื่อนไหวตามเส้นทางที่เรากำหนดไว้แล้ว 18.00 น. ทั้งขบวนก็จะจอดรถและกดแตรยาวตามความยาวของเพลงชาติไทย ถือเป็นการส่งสัญญาณเปล่งเสียงขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นตำแหน่งนายกฯ พร้อมกันทั้งประเทศก็ยุติกิจกรรม แยกย้ายเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า โดยจุดนัดหมาย 3 จุดนั้น จุดแรกคือแยกราชประสงค์ เวลา 15.00 น. เคลื่อนออกจากแยกราชประสงค์ ผ่านสวนลุม ใช้เส้นทางถนนพระราม 4 บ่อนไก่ จุดที่ 2 อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มุ่งหน้าสะพานปิ่นเกล้า ผ่านเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ยูเทิร์นสายใต้ใหม่แห่งเก่า เข้าถนนจรัญสนิทวงศ์ ตรงไปกลับรถสะพานพระราม 7 เพื่อมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง 3. จ.พระนครศรีอยุธยา คิวรถตู้ อยุธยาพาร์ค มาตามถนนสายเอเชีย เข้าถนนวิภาวดี ตรงเข้าเส้นทาง 5 แยกลาดพร้าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า โดยเรามี 3 เส้นทางนี้เท่านั้น นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ตั้งขบวนมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นพื้นที่ของคนหนุ่มสาว ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้ตามสะดวก ไม่ทับซ้อนกัน ไม่มีการมารวมขบวนกัน เมื่อถึงเวลา 18.00 น. จะจอดรถและกดแตรยาวพร้อมกัน เพื่อแสดงสัญลักษณ์ไล่พล.อ.ประยุทธ์ ตามความยาวของเพลงชาติ ยืนยันไม่มีการเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยง เปราะบาง หรือเฝ้าระวัง และไม่มีการปักหลักชุมนุม ณ สถานที่ดังกล่าว เรื่องนี้ตนได้แจ้งกับฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายความมั่นคงไปแล้ว ไม่มีปิดบังลับลมคมใน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่ไม่มีรถส่วนตัว ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็มีวิธีการที่ให้แสดงออกหลายรูปแบบ ขณะนี้มีพี่น้องแท็กซี่ไม่ต่ำกว่า 1.8 หมื่นรายที่ได้รับวัคซีนแล้ว และมีการขึ้นสัญลักษณ์บนรถ สามารถติดต่อแท็กซี่ที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าวเพื่ออุดหนุน เหมารถมาร่วมกิจกรรมเท่ากับเป็นการช่วยเหลือแท็กซี่ได้ด้วย ถ้าอยู่ละแวกบ้านตัวเองก็ศึกษาเส้นทางที่เราผ่าน ออกมาแสดงสัญลักษณ์ชูป้าย และร่วมแสดงความเห็นไล่ประยุทธ์ได้ตลอดเส้นทาง

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า อย่างที่เราทราบว่าหลายวันมานี้มีเหตุการณ์เผชิญหน้า ปะทะด้วยกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม จนเป็นภาพชินตาของผู้คน ดังนั้นการเคลื่อนขบวน Car park ในวันที่ 15 ส.ค. ต้องพูดคุยให้ชัดถึงวัตถุประสงค์ในการเคลื่อน ตนชักธงสันติ ไม่ใช่ชักธงสงคราม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้ ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันที่ 15 ส.ค. จะเป็นสันปันน้ำให้ทุกคนทุกฝ่าตั้งสติและพิจารณาร่วมกัน ในการยุติความรุนแรงไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แน่นอนที่สุดตนอยู่ข้างประชาชน เมื่อเกิดการปะทะบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย ถึงที่สุดหน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบ จะแสดงตนเป็นคู่กรณีไม่ได้ ปฏิบัติการใช้กำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องยึดตามกฎหมาย หลักสากล และภายใต้เมตตาธรรมภายใต้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของแผ่นดิน ซึ่งการยุติความรุนแรง การเผชิญหน้าครั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือทั้ง 2 ฝ่าย วันที่ 15 ส.ค. เราจะเดิมพันสันติภาพ โดยให้สังคมเป็นกรรมการ ไม่มีบวก ไม่มีปะทะทุกอย่างจะเกิดขึ้นและจบลงตามกำหนดเวลา

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ว่ากันไปแล้วตำแหน่งของนายกฯ คนนี้ ก็เริ่มจากชุมนุมของคนกลุ่มหนึ่งออกมาไล่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ฉวยโอกาสรัฐประหาร สร้างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจแต่การบริหารล้มเหลวทุกอย่าง เผชิญวิกฤติโรคระบาด ประชาชนจึงต้องส่งเสียงขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ มีจุดกำเนิดจากประชาชนกลุ่มหนึ่ง จึงไม่ควรดูดายหรือพอใจกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนอีกลุ่มในขณะนี้  พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็น ผบ.ทบ.ในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยืนยันเสมอเจ้าหน้าที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน ตนจึงเรียกร้องคำนี้จาก พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่เป็นนายกฯ ไม่ว่าท่านจะปิดทองหลังพระหรือกำลัง WFH ก็ได้ แต่ท่านไม่ได้ตัดขาดท่านจากความรับผิดชอบในการมอบนโยบายและสั่งการให้เจ้าหน้าที่ยุติความรุนแรงต่อประชาชน

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่ออีกว่า ตนมีคำพูดถึงคนหนุ่มสาวที่ออกมาต่อสู้ ตนขอเรียกตัวเองว่าพี่เต้น ตลอดมามีแต่ความรัก ความหวังดี ประกาศยืนเคียงข้างคนหนุ่มสาวไม่ว่าวันนี้และตลอดไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนไม่เคยก้าวก่าย วิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ของคนหนุ่มสาว ในเรือนจำถ้าพวกเขาไม่ถามตนไม่เคยแสดงความเห็น แต่วันนี้พี่เต้นอยากปรารภความเห็นถึงพี่ๆ น้องๆ และคนหนุ่มสาว จะว่าพี่ขี้ขลาด ไม่สู้ ไม่ก้าวหน้า ก็ได้ แต่ตนอยากจะพบอกว่าหัวใจสู้ของคนหนุ่มสาวทุกคนเห็นแล้ว ส่วนตัวพี่คารวะ ยอมใจในความกล้าหาญมุ่งมั่น ยอมใจในการต่อสู้อย่างลืมเหนื่อย ลืมกลัว ลืมตาย แต่อย่าลืมว่ากลยุทธ์สำคัญของการต่อสู้ต้องหันด้านที่แข็งแรงที่สุดปะทะกับด้านที่อ่อนแอของคู่ต่อสู้

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในทรรศนะผมด้านที่แข็งแรงที่สุดของประชาชนคือพลังบริสุทธิ์ ยึดหลักสันติวิธีร่วมกันและแสดงออกอย่างพร้อมเพรียงทั้งประเทศ ส่วนด้านอ่อนแอที่สุดของผู้มีอำนาจคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตนเชื่อว่าเป็นศูนย์รวมความชิงชังของคนประเทศ  ป็นมือวางอันดับหนึ่งของความไร้ความสมารถที่ประชาชนต้องการขับไล่ ในขณะเดียวกันด้านที่อ่อนแอของประชาชนคือกำลังสู้รบ และการปะทะ

“เราไม่มีทางมีอาวุธยุทโธปกรณ์เทียบเคียงฝ่ายรัฐได้ เพราะด้านแข็งแรงที่สุดของฝ่ายรัฐคือกองกำลังและอาวุธ การเผชิญหากับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน วันนี้ถ้าฝ่าไปได้ 5 กองร้อยก็จะได้ไปพบกับอีกเป็นสิบเป็นร้อยกองร้อยและทั้งประเทศต่อไป ผ่าน คฝ. กระสุนยางก็จะไปเจอทหารกระสุนจริง ซึ่งไม่ใช่วาระเวลาที่ประชาชนจะต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น เหมือนที่ตนและพี่น้องร่วมอุดมการณ์เผชิญหน้ามาแล้วเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา” นายณัฐวุฒิกล่าว

เมื่อถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผู้ชุมนุมขว้างประทัดยักษ์จนมือได้รับบาดเจ็บนั้น มีการวางมาตรการป้องกันคัดกรองอย่างไรในกลุ่มเราเองไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนคิดว่าเหตุการณ์ที่ผ่านขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่ฝ่ายแสดงต่อกัน คงไม่สรุปว่าเกิดเพราะใครฝ่ายใด วันที่ 15 ส.ค.นี้ ตนเชื่อมั่นในวิจารณญาณของประชาชน และคนหนุ่มสาวทุกคน เชื่อว่าเขาเข้าใจว่าเป้าหมายการชุมนุมครั้งนี้คืออะไร เชื่อว่าจะไม่เกิดความรุนแรงและเผชิญหน้า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชน ถ้าเราใช้ความอดทนอดกลั้นก็จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้

เมื่อถามว่ามีการตั้งคำถามว่าเยาวชนใช้ความรุนแรงเพราะมีความต้องการให้กองทัพออกมา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าน้องๆ จะมีความต้องการอย่างนั้น แต่ไม่มั่นใจในฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะไม่มีเคยมีการเจรจาก่อนใช้กำลัง ซึ่งฝ่ายรัฐต้องรับผิดชอบ ขอให้ประชาชนดูเกมนี้ให้ดีตนเชื่อว่าบรรยากาศการเผชิญหน้าการปะทะทั้งหมด มันเป็นความพึงพอใจของฝ่ายผู้มีอำนาจ เป็นความต้องการให้ทุกวันมันจบที่ความรุนแรง ถ้าไม่ใช่ความพึงพอใจเราจะเห็นเสียงคนในรัฐบาลออกมาปรามและพูดถึงแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่บ้างแล้ว แต่วันนี้ไม่มีเลย วันที่ 15 ส.ค.นี้อยากให้เรามาช่วยกันทำให้พลังของประชาชนเกิดขึ้นและจบลงอย่างที่เราต้องการ อย่าให้มันเป็นการเริ่มต้นด้วยเจตนาของเรา และจบลงด้วยเป้าหมายของผู้มีอำนาจ ตนเชื่อว่าเราทุกคนไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น.