เมื่อวันที่ 10 ต.ค. เวลา 10.30 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงการดูแลสภาพจิตใจผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ จ.หนองบัวลำภู ว่า แผนการดำเนินการดูจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ 1.การเข้าไปดูแลทันทีภายใน 3 วันแรก การที่ผู้ประสบเหตุได้รับการดูแลทางกายให้มีความปลอดภัยที่รวดเร็ว ทำให้การดูแลสภาพจิตใจทำได้ดีขึ้น 2.การดูแลในระยะ 2 สัปดาห์ เป็นต้นไป จากความเศร้าโศกที่วุ่นวาย ยุ่งเหยิน จะกลายเป็นเศร้าโศกอย่างโดดเดี่ยว ทีมสุขภาพจิต (MCATT) จะอยู่ในพื้นที่ตลอด ตั้งศูนย์เยียวยาในชุมชน และมีแผนเดินเท้าเยี่ยมบ้าน 3.การดูแลต่อเนื่องระยะ 3 เดือน หรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าว วันแรกๆ มีผู้รับผลกระทบทางตรง 170 คน แต่เมื่อสถานการณ์คลายตัวเยอะจึงเหลือหลักสิบกว่าคน มีบางรายที่ยังเสียใจมาก ไม่สามารถปรับตัวได้ จนอยากทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับการดูแลแล้ว จากนั้นมีกลุ่มที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีปัญหาสุขภาพกายเพิ่มขึ้นอีก 10 ราย ทั้งนี้ บางรายเริ่มเกิด PTSD ฝันร้าย เกิดภาพติดตา คิดวนเวียน นอนไม่หลับ บางรายเกิดความขัดแย้งในครอบครัว จากความสูญเสีย แต่ทุกรายได้เจอจิตแพทย์แล้ว อย่างไรก็ตาม กล่าวได้เบื้องต้นว่ามีผู้ได้รับผลกระทบที่ต้องดูแลแบ่งเป็น 1. ผู้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งมีเยาวชนต่ำกว่า 18 ปีอยู่ 60 คน และ 2.กลุ่มที่ไม่ใช่ญาติสายตรงของผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต แต่อยู่ในตำบลอุทัยสวรรค์ มีอยู่ 6,500 คน และเด็กใน 2 โรงเรียนที่อยู่ในที่เกิดเหตุอีก 129 และ 3.กลุ่มที่ได้รับข่าวสารทั้งภายในจังหวัดและในประเทศ สำหรับกรณีที่มีการหวาดกลัวไม่กล้าให้ลูกหลานไปเรียนนั้น อาจจะต้องมีการยืดหยุ่น ครูก็ทำความเข้าใจ อาจจะหยุดเรียนไปสักระยะ แล้วทำกิจกรรมในสังคมอย่างอื่นแทน ทั้งนี้กรมฯ จะเข้าไปทำความเข้าใจกับครูทั้งจังหวัดด้วย
 
เมื่อถามว่าขณะนี้ในพื้นที่มีการต่อว่า ขับไล่แม่ผู้ก่อเหตุ กรณีเช่นนี้ต้องมีการดูแลอย่างไร พญ.อัมพร กล่าวว่า โดยหลักการสำคัญทั้งคุณแม่ผู้ก่อเหตุ หรือครอบครัวผู้ก่อเหตุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในเรื่องสภาพจิตใจ ซึ่งทีมได้เข้าไปดูแลตั้งแต่แรกเริ่ม และเฝ้าระวังปัญหาจิตใจ สภาพแวดล้อม เตรียมทางเลือกให้ครอบครัวปรับตัวและก้าวข้ามไปได้ ซึ่งไม่มีใครต้องการให้ครอบครัวเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม จริงๆ การแยกออกจากสิ่งแวดล้อม ณ ขณะนั้นก่อน จะเป็นประโยชน์มาก เพราะช่วงแรกๆ จะส่งผลต่อครอบครัวนั้น 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคม คนรอบข้างผู้สูญเสีย จะมีวิธีการช่วยเหลือ ประคับประคองให้ผู้ประสบเหตุผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร พญ.อัมพร กล่าวว่าต้องประคับประคองจิตใจให้เป็น การปรอบโยนให้เป็น การใส่ใจอารมณ์ แต่ไม่ขุดคุ้ยขยี้ถาม ใส่ใจอารมณ์ และจากนี้การเสนอความช่วยเหลือ การดึงประโยชน์ของชีวิตที่จะเดินหน้าต่อไปให้ได้ การมีเวลาร่วมกันในการทำกิจกรรมประเพณีร่วมกันก็จะช่วยประคับประคอง และหล่อหลอมจิตใจร่วมกันได้ รวมถึงผู้ใหญ่ต่างๆ ลงไปเยี่ยมเยียนก็ช่วยสภาพจิตใจได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้สิ่งที่อาจจะเจอได้ในผู้สูญเสีย เนื่องจากมีพิธีการ มีงานศพ คนมารวมตัวกัน อาจจะเจอภาวะหายใจหอบถี่ เหนื่อย แขนขาจีบจากความเครียดพุ่งสูง คนที่อยู่ใกล้ชิดสามารถช่วยให้ผู้สูญเสียตั้งหลัก หายใจลึกๆ หรือใช้กระดาษ A4 ทำเป็นกรวยครอบไว้สักพัก เพื่อให้หายใจช้าลง แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ๆ หรือบางคนอาจจะมีภาวะถดถอยทางจิตใจ อาจจะมีพฤติกรรมกรีดร้อง หรือมีท่าทีคล้ายกับผู้ที่จากไป ซึ่งจะโน้มนำให้เกิดอุปทานหมู่ได้ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ขออย่ามุงดู แต่ให้ประคองผู้มีอาการออกมาให้อยู่ที่สงบ แล้วอาการจะดีขึ้น และคนรอบข้างก็จะไม่เกิดอาการทางจิตใจร่วม
 
เมื่อถามว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์กราดยิงเกิดหลายครั้ง เวลาใกล้กัน จึงกังวลว่าจะเป็นการลอกเลียน และกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก พญ.อัมพร กล่าวว่า จากการที่เราคาดการณ์ได้ทั่วโลก และประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นฐานเดิมก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 จะพบเรื่องความก้าวร้าวรุนแรง เรื่องความเครียดของสังคมมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มีเจอการระบาดของโรคโควิดมา 2 ปีกว่า เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งมีการเฝ้าระวังกันอยู่ และเราก็หวังว่าเราจะสามารถป้องกัน หรือหยุดมันให้ได้มากที่สุด จากข้อมูลความรุนแรงในอดีต กับเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนี้ที่เราได้เริ่มทำการวิเคราะห์ หรือเป็นการชันสุตรทางด้านจิตใจ แกะรอยทั้งประเด็นแง่มุมของสังคม แง่มุมของจิตใจ เกี่ยวข้องกับการก่อความรุนแรงมีอะไรบ้าง ซึ่งดำเนินการแล้ว และต้องใช้เวลานานในการชันสูตร เพราะต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งตอบไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน เพราะบางเรื่องที่เป็นความเจ็บปวดบางครั้งจะมีความเร้นลับของบางเรื่องอยู่ด้วย
 
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้เสมอในเหตุการณ์ความรุนแรง พบว่า 1. มีเรื่องสารเสพติด 2. เรื่องอาวุธ และ 3.ปฏิเสธไม่ได้คือเรื่องของสุขภาพจิต จะเป็นตัวที่เชื่อมโยง 2 ปัญหาแรก เข้าถึงกันจึงเกิดเป็นปรากฏการณ์ความรุนแรง ดังนั้นเราต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชน เพื่อเป็นการป้องกันการเลียนแบบ จึงขอให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “กราดยิง” รวมถึงการพูดถึงเหตุการณ์นี้ ในระยะนี้อาจอ้างอิงว่า “เหตุการณ์ความรุนแรงที่จังหวัดหนองบัวลำภู” แต่อีกสักระยะหนึ่ง เราไม่อยากให้หนองบัวลำภูอยู่กับชื่อนี้และเจ็บปวดไปตลอด จึงค่อยๆ ปรับคำนี้ว่าเป็น “เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ …”

ทางด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สธ. เปิดเผยว่าขณะนี้การดูแลผู้บาดเจ็บทั้ง 7 ราย ปลอดภัยแล้ว จากนี้ต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย และสภาพจิตใจให้เป็นปกติที่สุด ทั้งผู้เผชิญเหตุการและญาติผู้ประสบเหตุโดยทีมสหวิชาชีพ หวังอย่างเดียวว่าน้อง 3 ราย ที่อาการหนัก บาดเจ็บที่ศีรษะ ได้รับรายงานว่าน้องๆ อายุยังน้อย โอกาสฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ มีมาก ส่วนผู้บาดเจ็บที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องรอฟื้นตัวต่อไป  
 
สำหรับกรณีมีการดราม่าว่าไม่ยอมส่งศพไปชันสูตรที่ จ.อุดรธานี เพราะต้องรอผู้ใหญ่นั้นเป็นดราม่าที่พูดกันไป แต่ข้อเท็จจริงคือ เรื่องการชันสูตรศพต้องมีการจัดการหลายเรื่อง ต้องมีความพร้อมทั้งต้นทาง ปลายทาง ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างการระดมแพทย์นิติเวช เนื่องจากในพื้นที่มีแพทย์นิติเวชเพียงแค่ 2 คน ต้องระดมจากจังหวัดใกล้เคียง และ กทม. กว่าจะเดินทางถึงอุดรธานีก็เป็นวันรุ่งขึ้น (7 ต.ค.) ดังนั้นการให้คงศพอยู่ที่ รพ.หนองบัวลำภู เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ญาติก็อยู่ที่นั่นด้วย จึงไม่ควรอัดทะนานส่งไปรพ.ที่ทำการชันสูตร เพราะทาง รพ.ไม่สามารถรับร่างทั้งหมดไว้คราวเดียว ต้องฝากร่างไว้ที่มูลนิธิต่างๆ ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนั้น ดังนั้น เมื่อแพทย์นิติเวชมาถึงก็เร่งดำเนินการทันที ปลัด สธ.ก็ระบุว่าจะชันสูตรศพทั้งหมดและส่งกลับให้ญาติภายในเที่ยงวันศุกร์ที่ 7 ต.ค.

ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวถึงการดูแลผู้บาดเจ็บ 10 ราย ในจำนวนนี้ 4 รายอาการเล็กน้อย มี 3 รายกลับบ้านแล้ว อีก 5 ราย อยู่ รพ.หนองบัวลำภู รายแรกเป็นเด็กชายอายุ 3 ขวบ ได้รับบาดเจ็บที่สมอง กะโหลกศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือน มีเลือดออกในสมอง รายแรกได้รับการผ่าตัดแล้ว อาการค่อนข้างดี ขณะนี้ถอดเครื่องหายใจออก หายใจได้เอง กำลังติดตามอาการที่ห้องไอซียูเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน รายที่ 2 เด็กชายอายุ 4 ขวบ สมองได้รับความกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก แพทย์ได้ผ่าตัดเปิดสมองเอาก้อนเลือดออก รายนี้เกิดภาวะแทรกซ้อน สมองบวม ผ่าตัดครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ต.ค. สามารถลดอาการสมองบวมได้ แพทย์พอใจ 80% มีสัญญาณที่ดี รายที่ 3 หญิงอายุ 56 ปี ได้รับบาดเจ็บศีรษะ ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ อาการตอนนี้ดีขึ้น กำลังฝึกหายใจเองสลับเครื่องช่วยหายใจ รายที่ 4 หญิงอายุ 42 ปี ได้รับบาดเจ็บช่องท้อง โดยลำไส้เล็กทะลุ ขาหัก ได้ผ่าตัดรักษาตอนนี้รู้สึกตัวดี หายใจได้เอง รู้สึกตัวดี และรายที่ 5 เด็กหญิงอายุ 12 ขวบ เป็นลูกรายที่ 4 จึงให้รักษาด้วยกันจะช่วยสภาพจิตใจดีขึ้น
 
สำหรับ รายที่ 6 และ 7 อยู่ รพ.อุดรธานี โดยรายที่ 6 เป็นเด็กอายุ 3 ขวบ บาดเจ็บศีรษะ ได้ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ เอาก้อนเลือดออก ขณะนี้อาการดีขึ้น พูดคุย ถามตอบได้ เมื่อเช้าทีมงานบอกว่า ยังชูนิ้วมือสองนิ้ว แสดงว่ากำลังใจดี และรายที่ 7 เป็นชายอายุ 21 ปี บาดเจ็บกระดูกสันหลังต้นคอ ขณะนี้ผ่าตัดแล้ว ยังใช้เครื่องช่วยหายใจ และต้องกายภาพต่อไป