เมื่อวันที่ 13 ส.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า จับตาทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ภาค 2 !? ได้ข่าวจากสื่อมวลชนว่าปลัดกระทรวงสาธารณสุขสั่งสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ 300 ล้านเม็ด ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้าน ถ้าราคาเม็ดละ 120 บาท หรือ 45,000 ล้านบาท ถ้าเม็ดละ 150 บาท แต่ก็ได้ข่าวล่ามาเร็วว่า บริษัทญี่ปุ่นจะเคาะราคายาฟาวิพิราเวียร์ให้เม็ดละแค่ 30 บาท ถ้าเป็นเช่นนั้น ไทยก็จะควักกระเป๋าจ่าย 9,000 ล้านบาท ซึ่งแม้จะได้ราคาถูกลง แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่า สมควรไหมที่สั่งนำเข้ายาที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่ารักษาโควิด-19 ได้ เพราะในงานวิจัยทางคลินิกครั้งล่าสุดของต่างประเทศก็ยังยืนยันว่ายาฟาวิพิราเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่สามารถช่วยลดอัตราการตายของผู้ป่วยโควิดได้เลย

เหตุใดไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นสมุนไพรที่ปลูกได้ ผลิตได้ในประเทศ เป็นความมั่นคงทางยาของประเทศ ราคาถูกกว่ามหาศาล เป็นการหายใจด้วยจมูกของตัวเอง เรายืมจมูกคนอื่นหายใจทั้งหมด ตั้งแต่วัคซีน อุปกรณ์การตรวจเชื้อ เมื่อหมดการระบาด ซึ่งไม่รู้อีกนานเท่าใด ประเทศจะถูกผลาญเงิน จากการบริหารแบบอาศัยจมูกคนอื่นหายใจแบบไม่บันยะบันยัง ใช่หรือไม่ ?!

ที่การประมูล Antigen Rapid Test Kit ต้องเลือกของราคาถูกที่สุด จนถูกแพทย์ชนบทเรียกร้องประชาชนให้จับตาดู ว่ายี่ห้อที่เลือกเป็นการล็อกสเปกหรือไม่ ? เป็นของตกมาตรฐานหรือไม่ ? จนปลัดต้องสั่งชะลอการจัดซื้อออกไปก่อน แต่กับกรณียาฟาวิพิราเวียร์ แทนที่จะใช้เงินมาซื้อฟ้าทะลายโจรซึ่งมีราคาถูกกว่าฟาวิพิราเวียร์ ราวฟ้ากับเหว และฟาวิพิราเวียร์ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร จากที่คนเคยเข้าใจว่าสามารถใช้รักษากับคนไข้อาการหนักได้ ตอนนี้ถูกลดระดับลงมาใช้กับคนไข้อาการน้อย และคนไข้ที่ไม่มีอาการ ทั้งที่ฟ้าทะลายโจรก็รักษาได้เช่นเดียวกัน และมีประสิทธิภาพมากกว่าฟาวิพิราเวียร์ จากการทดลองของนพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ที่ใช้รักษาผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พบว่าใช้ฟ้าทะลายโจรเปรียบเทียบกับฟาวิพิราเวียร์เป็นเวลาเท่ากันจำนวน 5 วัน พบว่าผู้ที่ใช้ฟ้าทะลายโจร เชื้อหมดไปใน 8 วัน ส่วนผู้ที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เชื้อหมดใน 12 วัน ซึ่งน่าจะไม่ต่างจากยาหลอก ใช่หรือไม่

ฟ้าทะลายโจรมีราคาถูกกว่า เป็นของที่หาได้ในประเทศ เป็นความมั่นคงทางยาของประเทศ การใช้ฟ้าทะลายโจรจะช่วยสนับสนุนเกษตรกร และอุตสาหกรรมยาในประเทศ ในห้วงเวลาที่ยากลำบาก เพื่อให้เกษตรกร และอุตสาหกรรมภายในประเทศยังหายใจได้ต่อไป แต่เหตุใดผู้บริหารจึงไม่คิดทำ!? การสั่งนำเข้าฟาวิพิราเวียร์มาสำรองไว้ถึง 300 ล้านเม็ด ก็ต้องควักเงินจ่ายออกไป อย่างต่ำๆ ก็ 9,000 ล้านบาทเห็นๆ หรืออาจจะสูงถึง 45,000 ล้านบาทก็ได้ เป็นการสำรองในปริมาณที่เหมาะสมแล้วหรือ ?

ผู้ป่วยติดเชื้อสะสม ณ วันที่ 12 ส.ค. 2564 มีจำนวน 810,908 คน และหายป่วยสะสม 596,375 คน ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้หายป่วยเพราะยาฟาวิพิราเวียร์ แล้วท่านปลัดประมาณว่าจะมีคนติดเชื้อใหม่ที่มีอาการรุนแรงจนต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ถึง 6 ล้านคนเชียวหรือ ทั้งที่รัฐบาลก็จะเร่งระดมฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้า 60-70% ซึ่งคาดว่าจะลดผู้ติดเชื้อรุนแรงลงเป็นจำนวนมาก เวลานี้ แค่ซื้อวัคซีน ประเทศก็หมดเงินไปเท่าไหร่แล้ว และการต้องมาซื้อยาสำรองปริมาณมหาศาลขนาดนี้ เป็นการประมาณการผู้ป่วยใหม่ที่สูงเกินจริงไปหรือไม่ หรือมีสิ่งใดแอบแฝง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับการออกพ.ร.ก.นิรโทษกรรมโควิดด้วยหรือไม่ !?

ท่านปลัดควรที่จะสั่งให้มีการสำรองฟ้าทะลายโจรจะดีกว่าเพื่อรักษากลุ่มคนติดเชื้อสีเขียว ซึ่งมีอยู่ถึง 80% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด จากการตรวจเชิงรุกของทีมแพทย์ชนบท พบการติดเชื้อประมาณ 10% กว่าๆ น้อยกว่า 2 ครั้งก่อน จึงไม่จำเป็นต้องตุนยาเอาไว้เป็นจำนวนมากเกินสมควร กระทรวงสาธารณสุขไม่ควรปล่อยให้เกิดการระบาดจนติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 6 ล้านคน ในช่วงตุลาคม-ธันวาคม เพราะจะแสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการควบคุมการระบาด ใช่หรือไม่ เว้นเสียแต่นี่คือวิธีการถลุงงบประมาณให้หมดก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ ใช่หรือไม่

ดิฉันเคยร่วมต่อสู้ในกรณีการทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ 1,400 ล้านบาท ในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2541-2546 จนมีทั้งรัฐมนตรีติดคุก ถูกยึดทรัพย์ และปลัดหลุดจากตำแหน่ง หวังว่าจะไม่มีปรากฏการณ์แบบทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุขภาค 2 อีกครั้งหลังจากการทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ 1,400 ล้านบาทครั้งนั้น ผ่านมาแล้วถึง 23 ปี”.