เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “CAR PARK 15 สิงหาคม” ระบุว่า เราได้เห็นทุกอย่างที่เชื่อว่าจะได้เห็น ขบวนขับไล่ประยุทธ์ล้นหลามทรงพลังทั่วประเทศ 3 เส้นทางในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยรถนานาชนิด สองข้างทางมีพี่น้องชูป้ายชูมือแสดงสัญลักษณ์ ผู้คนหลากหลายสถานะแสดงออกชัดเจนไม่ยอมรับอำนาจบริหารนี้อีกต่อไป

นายณัฐวุฒิ ระบุต่อว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรู้คือถ้าไม่ใช่สถานการณ์โรคระบาด จะเห็นคนหลายแสนคนไหลบ่ามารวมกันในกรุงเทพฯ เดินขบวนขับไล่ ขอบคุณทุกพลังบริสุทธิ์ ทั้งที่ออกมาในขบวน ยืนสองข้างทาง และมีส่วนร่วมทุกรูปแบบรวมถึงทุกกำลังใจที่มอบให้ แม้บางพื้นที่ถูกคุกคามแต่การต่อสู้ยังต้องดำเนินต่อขอทุกคนอย่าหวั่นไหว รูปแบบและเป้าหมายของกิจกรรมสื่อสารชัดเจน หลีกเลี่ยงเงื่อนไขเผชิญหน้าทุกประการและประชาชนก็ร่วมกันทำจนสำเร็จ ไม่มีเหตุปะทะใดๆ ในเส้นทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงตามเวลา เวทีออนไลน์มีเนื้อหาสาระหลายช่วงตอนน่าสนใจ ขอแนะนำให้หาดูย้อนหลัง

“สิ่งที่ห่วงใยคือความรุนแรงที่มีต่อเนื่อง ในที่สุดก็เกิดขึ้นตรงจุดเดิมซึ่งไม่อยู่ในภารกิจของเรา เมื่อประเมินชัดว่าเกิดเหตุผมจึงรีบเดินทางไปสามเหลี่ยมดินแดง พยายามสื่อสารกับมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวควบคู่ไปกับการเจรจากับเจ้าหน้าที่ กังวลที่สุดคือความปลอดภัยของทุกคน ไม่มีเจตนาก้าวก่ายหรือถ่วงรั้งการต่อสู้ เดิมตั้งใจว่าเลิกแล้วจะกลับบ้าน แต่เมื่อมีเหตุผมทิ้งพวกเขาไว้แบบนั้นไม่ได้” นายณัฐวุฒิระบุ

นายณัฐวุฒิ ระบุต่อว่า เท่าที่เห็นคนหน้างานมี 3 กลุ่ม 1.ตั้งใจไปที่นั่น รู้อยู่แล้วว่าไปก็มีเรื่อง ไม่ฟังและไม่คิดจะฟังแนวทางของกิจกรรมตั้งแต่ต้น 2.อัดอั้น โกรธแค้นการบริหารของรัฐบาล เจ็บปวดจากการถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เตรียมตัวจะไปแต่เมื่อมีสถานการณ์ก็ไปรวมตัวกัน 3.สังเกตการณ์ อยากเห็นเหตุการณ์จากพื้นที่จริง ที่เหลือน่าจะเป็นคนละแวกนั้น สื่อมวลชน อาสาสมัครต่างๆ

ผมเคลื่อนรถไปถึงสามเหลี่ยมดินแดงต้นถนนวิภาวดี เห็นแนวหน้าสุดเป็นคนกลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มที่สองสลับเข้าออกเป็นกองหนุน กลุ่มที่สามยืนดูห่างออกมาเสียงระเบิดแก๊สน้ำตา กระสุนยาง พลุ ประทัด ดังต่อเนื่อง ยืนอธิบายความอยู่พักใหญ่ ช่วงแรกทุกอย่างยังร้อนหลายคนยังมุ่งไปแนวหน้า มีบ้างที่หยุดฟังหรือเดินกลับ ผ่านไปอีกระยะบรรยากาศเริ่มเย็นลง ผมชวนมวลชนส่วนหนึ่งเดินตามกลับมา ประมาณ 60-70 เมตร หยุดรถพูดคุยกันอีกครั้ง ที่ฟังและเดินกลับมีมากขึ้น

ชั่วโมงเศษผ่านไปเริ่มมืด ผมได้รับโทรศัพท์จากตำรวจว่าจะส่ง คฝ.ออกเคลียร์พื้นที่ จึงบอกสถานการณ์ให้พี่น้องทราบและชวนกลับบ้าน กลุ่มใหญ่เดินกลับ มอเตอร์ไซค์หลายคันสตาร์ตเครื่อง เราพากันถอนตัวจนผมมองกลับไปเห็นถนนโล่งทั้งคนทั้งรถขาดช่วง ประเมินว่าคนส่วนใหญ่ออกจากพื้นที่แล้ว ส่วนแนวหน้าเกินกำลังผมจะพากลับได้ ประคองน้องๆ มาส่งถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บอกทุกคนให้กลับบ้านแล้วผมก็ออกจากพื้นที่

“ถ้ากลุ่มปะทะเป็นพวกไม่สนใจอะไรเลย ตั้งใจออกมาบวกหรือเจตนาสร้างสถานการณ์ เป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับทุกกลุ่มเคลื่อนไหว ต้องระวัง ตรวจสอบและรู้เท่าทัน พบเห็นความจริงต้องรีบเปิดเผยเพราะไม่เป็นประโยชน์ในการต่อสู้ หากเป็นแนวทางที่น้องๆ ตัดสินใจเลือกเชื่อว่าทำได้ ผมก็เคารพไม่ด้อยค่าผลักไส เพียงแต่ผมเชื่ออีกแนวทางหนึ่งและจะสรุปบทเรียนเพื่อเดินต่อ จะว่าไม่สู้ ใจไม่ถึง ล้าหลัง ผมน้อมรับไม่โต้แย้ง” นายณัฐวุฒิระบุ

นานณัฐวุฒิ ระบุต่อว่า ผมเพียงอยากสร้างและรักษาพื้นที่ให้คนที่เข้าไม่ถึงแนวทางแบบนี้ได้ร่วมแสดงพลัง ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนมั่นคงและสู้ต่อไป สถานการณ์ถึงตรงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตัดสินใจ ถ้าเป็น POPCAT ต้องมีคนกดปุ่มถึงอ้าปากพูดได้เครือข่ายอำนาจนั้นก็ต้องคิด ระหว่างรักษาเก้าอี้นายกฯบนความล้มเหลวโควิด-19 และอาจต้องปราบปรามประชาชนถึงชีวิต ซึ่งเดาภาพจบไม่ออกว่าคราวนี้จะเลยเถิดไปถึงไหน กับยุติเพียงเท่านี้เอาประยุทธ์ออก อยู่ก็ยิ่งพังจะดึงดันไปทำไม ถ้ารักประชาชนประยุทธ์ต้องออกไป