เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวภายหลังการประชุมผลการทบทวนโปรแกรมการดำเนินงานเอชไอวีระดับประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก (GF) โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข (TUC) องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) และ Duke University โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี/เอดส์ จากประเทศไทยและต่างประเทศ 12 ท่าน นำโดยหัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ Dr. Chris Beyrer ผู้อำนวยการสถาบัน Duke Global Health Institute และหัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทย ศ.เกียรติคุณ นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นพ.โสภณ กล่าวว่า ไทยมีนโยบายยุติปัญหาเอดส์ให้ได้ภายในปี 73 ตามยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560-2573 โดยกำหนดเป้าหมาย 3 ประการ ได้แก่ ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละไม่เกิน 1,000 คน ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ให้เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติจากเอชไอวีและเพศภาวะเหลือไม่เกิน 10% ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ประเมิน และชื่นชมประเทศไทยในการดำเนินการต่างๆ ในการลดผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเดิมปี 2534 อยู่ที่ 140,000 คน เหลือ 6,500 คนในปี 64 ซึ่งยังไม่ถึงเป้าหมาย ต้องให้ได้ไม่เกิน 1 พันคนในอีก 8 ปีข้างหน้า ส่วนผู้เสียชีวิตจาก 57,000 คนในปี 45 เหลือ 9,300 คนในปี 54

“ปัญหาสำคัญคือ การเลือกปฏิบัติตัวเลขยังทรงๆ อยู่ที่ 26% ทางผู้เชี่ยวชาญมาประเมินและคิดว่าสิ่งสำคัญต้องให้รู้เร็ว และรักษาให้เร็วที่สุด และต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรค มีทั้งถุงยางอนามัย และยังมียาเพร็พ หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมีในชุดสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว จากนี้ต้องร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการดำเนินการต่างๆ ทั้งเรื่องเพศศึกษาในกลุ่มเยาวชน ลดการตีตราในกลุ่มเยาวชนที่ติดเชื้อ และให้เข้าถึงยาเพร็พมากที่สุด ขณะนี้ สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้ผลักดัน “กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในทุกรูปแบบ” ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 4 และ 27 กำหนดว่า ห้ามเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในทุกรูปแบบ ไม่เฉพาะสถานะด้านเอชไอวี แต่รวมถึงความเห็นและสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน โดยกระทรวงยุติธรรมได้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อรัฐสภา”
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สธ. อยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อบูรณาการระบบข้อมูลด้านเอชไอวีทุกสิทธิ รวมถึงแรงงานข้ามชาติและผู้ที่อยู่ระหว่างรอการพิสูจน์สัญชาติ (บุคคลไร้รัฐ) เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลกลาง เพื่อนำข้อมูลมากำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างเหมาะสมเท่าเทียม
ทางด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เชี่ยวชาญทำงานด้านเอชไอวีและเอดส์ กล่าวว่า แม้ขณะนี้การตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่มากเท่าอดีตที่ผ่านมา แต่ปัญหายังคงมีอยู่ อย่างที่ผ่านมา มีคนร้องเรียนว่า สถานประกอบการให้ตรวจสุขภาพและพบว่าพนักงานติดเอชไอวี จะเลิกจ้าง ซึ่งกรณีนี้ยังมี แต่ไม่มาก ประปราย น้อยกว่าสมัย 20 กว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การตรวจสุขภาพตรวจเลือดนั้น จริงๆ เป็นข้อมูลส่วนตัว ซึ่งการผลักดันกฎหมายก็จะช่วยได้ในการปกป้องสิทธิ์ผู้ป่วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกฎหมายจะปกป้องในส่วนเด็กและเยาวชนที่เรียนในโรงเรียนด้วยหรือไม่ ศ.เกียรติคุณ นพ.สุวัฒน์ กล่าวว่า จริงๆ โดยหลักในสถานศึกษาไม่มีการห้ามอยู่แล้ว อย่างนักเรียนถึงแม้พ่อแม่ติดเชื้อ นักเรียนไม่ติดก็มาเรียน หรือแม้นักเรียนติดก็สามารถมาเรียนได้ ในอดีตการตีตรามีอยู่ แต่ทุกวันนี้ดีขึ้น ถามว่ามีหรือไม่ มีอยู่แล้ว แต่น้อยกว่ามาก ปัจจุบันก็มีแบบติดเชื้อแต่ปกปิดไม่ให้ใครรู้ กับแบบเปิดเผย ซึ่งเปิดเผยมีไม่มาก สิ่งสำคัญเราต้องช่วยกันสื่อสารให้ลดการตีตรา เพราะการรู้ว่าป่วยเร็ว กินยาเร็วก็จะช่วยได้มากขึ้น อย่าตีตราจะส่งผลต่อสังคมมาก นี่คือ สาเหตุที่ต้องมีการผลักดันกฎหมาย.