งาน EICMA Motorcycle Show 2022 หรือที่คุ้นชื่อ Milan Motorcycle Show งานโชว์นวัตกรรมแห่งวงการมอเตอร์ไซค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีค่ายรถจักรยานยนต์ทั่วโลกส่งนวัตกรรมสองล้อเข้าร่วมงานเกือบ 2,000 แบรนด์ และอุปกรณ์ตกแต่งเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 8-13 พ.ย.นี้
สำหรับวันที่ 8-9 พ.ย.นี้ เป็นรอบสื่อมวลชน แต่บรรยากาศโดยรวมได้รับความสนใจมาก เพราะนอกจะมีนวัตกรรมสองล้อทั้งที่พร้อมวางตลาดและรถต้นแบบอยู่ระหว่างกำลังพัฒนาแล้ว ยังมีกิจกรรมภายนอกฮอลล์ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์กับรถในรูปแบบต่างๆ อย่างสนุกสนานอีกด้วย

โดยค่ายฮอนด้า ที่เข้าประจำฮอลล์ 13 มีพื้นจัดแสดงใหญ่มาก พร้อมกับการเปิดตัวบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ประกอบด้วย XL750 Transalp, CL500, CMX1100T Rebel, Forza350, Forza125 ส่วนไฮไลต์ที่น่าจับตาเพราะเป็นหนึ่งใน 3 รุ่นที่ทางฮอนด้าจะนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยในปี 2566 นี้แน่นอนแล้วก็คือ CB750 Hornet ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้

CB750 Hornet การดีไซน์ที่เฉียบคม ร่วมสมัย ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงดงามของเฟรมและตัวรถ พร้อมถังน้ำมันทรงปีกแมลงอันเป็นเอกลักษณ์ เน้นย้ำบุคลิกสปอร์ตของ Hornet ดุดัน สมรรถนะสูง ด้วยเครื่องยนต์สองสูบ 755 ซีซี มาพร้อมแรงบิดอันหนักหน่วง ให้อัตราเร่งที่เพลิดเพลินในทุกสถานการณ์การขับขี่ เฟรมน้ำหนักเบาแบบ Diamond Frame โช้คหน้าแบบหัวกลับ พร้อมโช้คหลังแบบ Pro Link มีระบบขับขี่ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกชุดค่าผสมที่ต้องการได้เอง ตามสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน
มาพร้อมหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว ให้ข้อมูลสำคัญอย่างชัดเจน เชื่อมต่อได้ด้วย HSVCs (Honda Smartphone Voice Control system) ระบบสั่งงานด้วยเสียง และมีระบบหยุดฉุกเฉินหรือ Emergency Stop System เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่นับเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ Hornet ในรูปลักษณ์ที่จะเปิดประวัติศาสตร์บทใหม่ให้วงการรถจักรยานยนต์

อีกหนึ่งรุ่นที่จะมาวิ่งในเมืองไทยก็คือ XL750 Transalp ที่มีการออกแบบโดยศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ของฮอนด้ากรุงโรม ประเทศอิตาลี สืบทอดจิตวิญญาณอันโดดเด่นของ Transalp ในอดีต โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ มาพร้อมกับไฟ LED รอบคัน ตัวรถออกแบบเพื่อรองรับการขับขี่หลากหลายรูปแบบ เปี่ยมด้วยสมรรถนะจากขุมพลังเครื่องยนต์ 755 ซีซี 2 สูบเรียง ให้แรงบิดที่ทรงพลังในช่วงรอบต่ำถึงกลาง สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 5 โหมด พร้อมระบบควบคุม HSTC (Honda Selectable Torque Control)

XL750 ใช้เฟรมแบบไดมอนด์น้ำหนักเบา ให้ความคล่องตัวสูง มั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ ทั้งบนทางเรียบ และทางฝุ่น รองรับแรงกระแทกด้วยโช้กหน้าโชว่า 43 มม. และโช้คหลังแบบ Pro-Link พร้อมล้อหน้าขนาด 21 นิ้วที่จับคู่กับล้อหลังขนาด 18 นิ้ว พร้อมระบบเบรก ABS ที่สามารถเลือกปิดการใช้งานที่ล้อหลังได้

เป็นรถที่ทำมาสำหรับแนวแอดเวนเจอร์บ้าง เดินทางปกติบ้างอยู่ระหว่างซีบี 500 เอ็กซ์ ที่ยังติดว่าขี่ไม่สนุกแต่ถ้าจะข้ามไปก่อนเป็นรุ่นแอฟริกา ทวิน เครื่อง 1,000 ซีซี ที่ใหญ่เกินไป ดังนั้น XL 750 จึงตอบโจทย์ทั้งคุณสมบัติน้ำหนักตัวแค่ 200 กก.นิดๆ ค่อนข้างเบาสำหรับรถพิกัดนี้ ด้วยเครื่อง และเฟรมขนาดนี้เบา การควบคุมขี่คนเดียวได้เรียกว่าตอบโจทย์รวมทั้งราคาไม่สูงเกินไป
ติดตั้งหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงจากสมาร์ทโฟน (HSVCs) Honda Smartphone Voice Control system พร้อมด้วยไฟฉุกเฉิน ให้เพื่อนร่วมทางรับรู้เมื่อเบรกกะทันหัน

และรุ่นสุดท้าย CL500 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก CL Series ในยุคทศวรรษที่ 60 และ 70 CL500 จึงเป็นรถจักรยานยนต์ที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์เรโทรกับความไฮเทคได้อย่างลงตัวในสไตล์ Casual Scrambler สำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ที่ต้องการความโดดเด่น มีดีไซน์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ คล่องตัวทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวัน และท่องเที่ยวสุดสัปดาห์หรือแม้แต่ทางฝุ่นในบางเส้นทาง มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 สูบ 471 ซีซี ให้อัตราเร่งฉับไว ออกตัวได้เร็ว เส้นสายรอบคันสวยงาม ไฟหน้า LED ไฟเลี้ยว LED แฮนด์ยกสูง ระบบกันสะเทือนประกอบด้วยโช้คหน้า ขนาด 41 มม. พร้อมยางหุ้ม และโช้คหลังแบบปรับได้ ล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว และด้านหลังขนาด 17 นิ้ว ผสานกันเป็นลุคใหม่แตกต่างอย่างมีสไตล์พร้อมลุย

ส่วน EM1 e: เป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ฮอนด้าจะเปิดตัวในยุโรป หลังจากที่ฮอนด้ามอเตอร์ประกาศแผนที่จะเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 10 รุ่นทั่วโลกภายในปี ค.ศ. 2025 นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของฮอนด้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาวิธีเดินทางในเมืองที่ง่ายและสนุกในคราวเดียวกัน รถรุ่นนี้เป็นรถคอมแพคพื้นเรียบ (Flat-Floored) ที่มาพร้อมกับ Smoothed Styling แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

EM1 e: ถูกออกแบบมาสำหรับการเดินทางระยะสั้นในเมือง และทำให้การเดินทางมีประสิทธิภาพ เงียบ และไม่มีมลพิษใดๆ ทำให้รถ EM1 e: กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการเดินทางของคนเมือง สำหรับแบตเตอรี่ เป็นแบตเตอรี่ Honda Mobile Power Pack e: มีความทนทาน และคุณภาพ จุดเด่นของ Mobile Power Pack (MMP) ถูกออกแบบให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย ทนความชื้น แรงกระแทก และการสั่นสะเทือน

นวัตกรรมใหม่บิ๊กไบค์ของฮอนด้า พร้อมรอเวลาเปิดตัวให้แฟนๆชาวไทยได้เป็นเจ้าของในปีหน้าแน่นอน.