เมื่อวันที่ 17 ส.ค. รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึงการประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการนำเข้ายา วัคซีน และเวชภัณฑ์เพื่อรับมือการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ว่า การออกประกาศดังกล่าว เนื่องจาก ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการบริหาร รพ.ธรรมศาสตร์ฯ เห็นถึงปัญหาความต้องการวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ในภาวะวิกฤติ ไม่เพียงกับความต้องการ จึงมีความคิดออกข้อบังคับดังกล่าวขึ้นมา เพื่อช่วยเป็นทางเลือกในการจัดหา ผลิต จำหน่าย นำเข้า และขออนุญาตและออกใบอนุญาต การขึ้นทะเบียนยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยสนใจนำเขาวัคซีนรุ่น 2 ที่ไม่ซ้ำซ้อนกับการนำเข้าของหน่วยงานอื่น ทั้งนี้เพื่อเป็นบูสเตอร์โด๊สให้ประชาชน ในรูปแบบวัคซีนทางเลือก เบื้องต้นมีความสนใจวัคซีนโปรตีนซับยูนิต ของ โนวาแวกซ์  รวมถึงวัคซีน mRNA เจนเนอร์เรชั่น 2 อย่างโมเดอร์นา ทั้งนี้ทาง มธ.ยังต้องหาผู้ร่วมสนับสนุนด้วย โดยเปิดกว้างทั้ง เครือข่ายโรงเรียนแพทย์ (UHOSNET) ราชวิทยาลัย สมาคม รวมถึงกลุ่มเครือข่าย รพ.เอกชน

รศ.นพ.พฤหัส กล่าวว่า นอกจากนี้ยังสนใจเรื่องการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่าง ATK ที่ต้องการมาช่วยสนับสนุนในภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีราคาถูก เบื้องต้นมีความประสงค์ให้ ATK ถูกอย่างน้อย 45-50 บาท เพื่อใช้ตรวจได้จำนวนหลายครั้ง เนื่องจากคุณสมบัติของ ATK ไม่ได้ไวเท่า RT-PCR จึงต้องมีราคาถูกเพื่อใช้ตรวจหลายครั้ง ส่วนเรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ คาดว่าการนำเข้าและเริ่มกระบวนการผลิตเองของ อภ.เพียงพอแล้ว

ทั้งนี้ ยืนยันการดำเนินการของ มธ. ไม่ได้ต้องการแสวงหาผลกำไร การออกข้อบังคับของมหาวิทยาลัยนี้ช่วยอุดช่องโหว่ ของภาครัฐ สร้างการเข้าถึงยา เวชภัณฑ์ ในประชาชน แต่หากทุกมหาวิทยาลัยต่างออกประกาศข้อบังคับ ก็จะทำให้สมดุลหรืออำนาจต่อรองในการสั่งซื้อน้อยลง มากกว่าการความความต้องการจากเครือข่ายแล้วสั่งซื้อ โดยในขณะนี้ยังไม่ได้มีหน่วยงานใดเสนอตัวเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ มีเพียงการเจรจาพูดคุยกัน หากมีความชัดเจนเรื่อง วัคซีนจึงจะมีการตกลงอีกครั้ง เพราะเบื้องต้นมองว่าการทำเข้าได้จริงหน้าจะเกิดในปีหน้า.