เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 พ.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ ได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ ผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในญัตติขอให้สภามีมติส่งเรื่องที่มีเหตุสมควรจะให้มีการออกเสียงประชามติให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการ (ตามข้อบังคับ ข้อ 39/2) หรือเป็นการถามประชามติประชาชนว่าให้มีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
โดยมี ส.ว.อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง อาทิ นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว. อภิปรายว่า เห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งแบบรายมาตราและแก้ไขทั้งฉบับ เพราะครรลองการเสนอถูกต้อง เป็นการลดความตึงเครียดทางการเมือง แต่ขอเตือนไปยังผู้แก้ไขว่าต้องคำนึงถึงความพอดี ไม่สร้างเงื่อนไขให้รัฐธรรมนูญอายุสั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงอะไรแบบถอนรากถอนโคนไม่เคยเกิดขึ้นได้ง่าย การเริ่มต้นใหม่จากศูนย์หลายครั้งจะทำให้ประเทศไทยบอบช้ำโดยไม่จำเป็น
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. กล่าวสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะดำเนินการทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้งส.ส. เพราะไม่ต้องการให้พรรคการเมืองบางพรรคใช้ประโยชน์ในเรื่องดังกล่าวเพื่อใช้หาเสียง โดยเสนอให้ทำประชามติก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรดำเนินการหลังวันเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปได้ทำหน้าที่แก้รัฐธรรมนูญและคาดดำเนินการไม่เกิน 2 ปีแล้วเสร็จก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ได้
ด้าน นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. กล่าวว่า อยากตั้งเป็นข้อสังเกตว่าเมื่อทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านแล้วจะมีกระบวนการแก้ไขอย่างไรหลังจากนั้น นอกจากนี้ยังอยากทราบว่าคำถามที่จะถามประชาชนเป็นอย่างไร เพราะตนคิดว่าจะต้องถามให้ชัดเจนว่าให้ใครเป็นผู้แก้ไข และขอบเขตการแก้ไขเป็นอย่างไร
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. กล่าวว่า ตนเห็นด้วยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว เพราะถ้าประวิงเวลาอาจจะทำให้เราไม่มีส่วนร่วมในการแก้ไข ถ้าเราไม่เห็นด้วยถือว่าเรารับเผือกร้อนไว้ กลายเป็นจำเลยสังคม ดังนั้นเมื่อผ่านรัฐสภาไปแล้วเสนอไปยัง ครม. เชื่อก่อนเข้า ครม. จะต้องส่งไปหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ถ้า ครม.ไม่เห็นด้วยทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเห็นสมควรให้ทำตามข้อเสนอของรัฐสภาต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วันตาม พ.ร.บ.ประชามติ หรือใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนกว่าเรื่องนี้จะเกิดได้ แม้เราจะมีมติเห็นชอบวันนี้ แต่ด้วยข้อเท็จจริงและเงื่อนไขต่างๆ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ใน ครม.ชุดนี้แน่นอน
“ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้โดนแก้แน่นอน ดูได้จากเสียงของ ส.ส.ที่มีการตั้งธงว่าจะต้องแก้ทั้งฉบับ เพียงแต่ว่าจะแก้ใน ส.ว.ชุดใด ถ้าทันสมัยพวกเราก็ยังต่อรองได้ แต่ถ้าแก้ไขหลัง พ.ค.67 ซึ่ง ส.ว.ชุดพวกเราหมดวาระไปแล้ว เราจะนั่งตาปริบๆ ดังนั้น ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เร็วเท่าไหร่ ผมยิ่งสนับสนุน” นายวันชัย กล่าว
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ จึงขออาศัยข้อบังคับการประชุม ขอเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขึ้นมา เพื่อศึกษาเสียก่อน
ส่วน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. อภิปรายว่าเหตุผลในญัตติดังกล่าว มีการระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นต้นตอความขัดแย้ง ทั้งที่ความเป็นจริงความขัดแย้งในบ้านเมืองช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ปัญหาของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นปัญหาของนักการเมืองแล้วไปโทษรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ได้มาจากรัฐประหาร แต่มาจากการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แล้วผ่านการทำประชามติ นอกจากนี้ยังมีการระบุถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 60 ว่าสร้างความถดถอยทางประชาธิปไตย ขยายอำนาจให้สถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตนเข้าใจว่าหมายถึง ส.ว. ซึ่งเป็นความไม่เข้าใจว่าระบบทางการเมืองไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งทุกสถาบัน ทุกองค์กร
“ไม่ใช่ว่ามาจากการเลือกตั้ง แล้วอยากจะพูดอะไรทำอะไรเป็นผู้วิเศษ บางครั้งช่วงไม่มีการเลือกตั้ง บ้านเมืองเจริญกว่าช่วงที่มีการเลือกตั้งก็เยอะ ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับเหตุผลที่ท่านเสนอเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ควรมีการแก้ไข ซึ่งมีเรื่องสำคัญหลายเรื่องที่ต้องทำใหม่ เช่น ประเด็นการบัญญัติว่านายกรัฐมนตรีต้องมีวาระ 8 ปี ทำให้เกิดวิกฤติความเป็นผู้นำประเทศ ผมไม่ได้พูดถึงตัวนายกฯ ปัจจุบัน แต่ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนี้ หากบ้านเมืองไปเจอคนดี มีความรู้ ความสามารถสร้างความเจริญให้ประเทศได้ เขาจะถูกจำกัดด้วยระยะเวลา 8 ปี ถ้ามีคนดี 8 ปีก็ไม่จำเป็น” นายเสรี กล่าว
ต่อมาเวลา 12.30 น. ภายหลังการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเสียงข้างมากให้ตั้งคณะ กมธ.สามัญฯ ขึ้นมาศึกษา จำนวน 26 คน ด้วยคะแนน 151 ต่อ 26 งดออกเสียง 15 เสียง กำหนดระยะเวลา 30 วัน