เมื่อวันที่ 21 พ.ย. คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน จัดงานแถลงนโยบาย “ฟังพรรคการเมือง! หยุดวิกฤติเด็ก…ด้วยสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า” โดยมีเครือข่าย นักวิชาการ และ 10 พรรคการเมืองร่วมแสดงนโยบาย
นางสุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า กล่าวตอนหนึ่งว่าข้อเสนอของเราจะไปไกลในสิ่งที่เด็กเล็กควรได้รับ วัย 0-6 ปี เป็นวัยที่สำคัญที่สุดของชีวิต ถ้าทำดีดูแลดีนี่คืออนาคตของชาติ การลงทุนกับเด็กเล็กไม่มีการลงทุนไหนคุ้มค่าเท่านี้อีกแล้วและไม่มีโอกาสย้อนกลับ ข้อเสนอใหม่ของเราที่ได้เดินสายพบพรรคการเมืองในช่วงที่ผ่านมา คือ 1.ขอสวัสดิการถ้วนหน้า ให้เด็กทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยได้รับการปกป้อง คุ้มครองและพัฒนา 2.ตั้งแต่ในครรภ์มารดา-6 ปี เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการดูแลตั้งแต่อยู่ในท้องเมื่อเริ่มฝากครรภ์ให้เริ่มดูแลทันที และ 3.เดิม 600 บาทคุณไม่ให้ จึงขอเปลี่ยนใหม่เป็น 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนทำไมต้อง 3,000 บาท ซึ่งมาจากการสอบถามพ่อแม่ ผู้ปกครองถึงค่าใช้จ่ายเป็นขั้นต่ำ ทั้งนี้ เด็กเกิดน้อยลงทุกปี ต้องดูแลให้ดีที่สุด และสังคมไทยมีครอบครัวรายได้น้อยสัดส่วนสูงมาก รวมทั้งมีแม่อายุน้อยและแม่เลี้ยงเดี่ยวเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการจัดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ทั่วถึงและให้เด็กทุกคนในผืนแผ่นดินไทยมีโอกาสได้เข้าเรียนด้วย

นายสมชัย จิตสุชน ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวนำเสนองานศึกษาในหัวข้อ “เด็กเล็ก จะไปต่อได้อย่างไร” ว่า ในภาพรวมของประเทศ เราเป็นสังคมสูงวัยเด็กเกิดน้อยลง เด็กจึงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป แต่ปรากฏว่าเด็กที่เกิดส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวซึ่งไม่พร้อม อนาคตเราขึ้นกับเขา แต่เรากลับไม่สามารถทำให้เขาพร้อมรับภาระได้ ทั้งนี้ความยากจนเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญ คนจนไม่ลดลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และกลับมีลูกเยอะจึงจำเป็นมากที่จะต้องดูแลเด็ก โดยมีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ คือ 1.เงินอุดหนุนต้องถ้วนหน้า 2.ควรขยายเงินอุดหนุนสู่หญิงตั้งครรภ์ และ 3.ควรเพิ่มจำนวนเงินอุดหนุน ทั้งนี้ในปัจจุบันความครอบคลุมสำคัญที่สุด ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังซึ่งเด็กสำคัญที่สุดและสำคัญกว่าวัยอื่น แต่ในแง่ของแวดวงคนที่กำหนดนโยบายยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าไร รัฐบาลปัจจุบันไม่สนใจถ้วนหน้าแต่ช่วยเฉพาะกลุ่ม ถ้าพูดถึงการช่วยคนจนก็จะมีคนจนตกหล่นทันที ทั้งนี้ คนจนเรื้อรังที่เป็นปัญหาหนักของประเทศไทยจึงต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเพียงพอ หากคัดกรองเมื่อไรจะมีเด็กตกหล่น 30-40 % ดังนั้นจึงต้องให้แบบถ้วนหน้า
จากนั้นเป็นการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมือง โดย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า เรามีคีย์เวิร์ดอยู่ 3 คำคือ คุณภาพชีวิตของเด็ก คุณภาพของประชากรคนไทย และอนาคตของประเทศไทย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน คุณภาพของประชากรไทยสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพของชีวิตเด็กที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนเติบโตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ในกรณีเด็กเล็กเราจะใช้จ่ายเงินลงไปมันคือการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เพื่อทำให้คนเหล่านั้นเกิดและเติบโตขึ้นมามีคุณภาพชีวิตที่ดี ตัวเลขที่รัฐบาลให้ลาคลอด 3 เดือน ไม่พอ 6 เดือนแรกต้องให้เขาอยู่ได้ด้วย ส่วนกระบวนการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ต้องมีการเปิดปิดที่เหมาะสม การลงทุนในงบประมาณของรัฐต้องที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวคือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท สามารถใช้งบกลางมาดำเนินการให้สำเร็จได้ทันที ไม่ใช่ตัวเลขที่มากเกินไปสำหรับประเทศไทยที่มีงบ 3.3 ล้านบาท เพื่อให้คนเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเป็นอนาคตของชาติ ต้องยอมลงทุนเพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่วนจะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นเรื่องนี้ต้องถูกแถลงไว้ในนโยบายของรัฐบาลภายใน 1 เดือน และเป็นสิ่งที่ทุกพรรคต้องดำเนินการร่วมกัน ซึ่งการที่พรรครัฐบาลไม่มาในวันนี้ก็คงไม่ประสงค์เป็นรัฐบาล
ทางด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า เราจะนำทุกช่วงอายุมาสู่สวัสดิการแห่งรัฐ ต้องมีรัฐสวัสดิการกรณีสวัสดิการเด็กถ้วนหน้าเราคิดไว้ 0-15 ปี สิ่งที่พรรคคิดนอกจากเงินถ้วนหน้า เราคิดว่าต้องใช้งบ 3 แสนล้านบาท คือวิธีที่จะสร้างมนุษย์ให้มีคุณค่าจะทำให้เด็กเป็นผู้ใหญ่หลัง 15 ปี เงินถ้วนหน้าแยกเป็นให้เด็กในช่วงปฏิสนธิ-6 ปีก่อน เราคิดว่าต้องเกิน 3,000 บาท คือ 4,500 บาท และต้องส่งเสริมให้แม่มีเงินเดือนด้วย ส่วนช่วง 6-15 ปี อาจจะประมาณ 3,000 บาท พร้อมส่งเสริมศูนย์รับเลี้ยงเด็กด้วย รวมทั้งลดรัฐราชการรวมศูนย์เพื่อคืนเด็กให้ครอบครัวและชุมชนด้วย ศูนย์เด็กอาจเป็นสิ่งที่ดี แต่ยังเป็นวิธีคิดที่รวมศูนย์และอำนาจนิยม เราจึงต้องมีสวัสดิการให้ครอบครัวอยู่ได้ด้วย
นายกำพล ปัญญาโกเมศ ตัวแทนพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า การลงทุนในมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เรามีเด็กเล็ก 4.2 ล้านคน มีงบดูแลเด็กแค่ 2 ล้าน เรามีเด็กขาดโอกาสเยอะมาก ถ้าจะมีเงินอุดหนุนแค่ 3 หมื่นล้าน ขาดอีก 1.4 หมื่นล้าน ตนเห็นด้วยว่าเราควรมีเรื่องสวัสดิการเงินอุดหนุนถ้วนหน้าเพราะใช้เงินอีกไม่มาก โดยคิดว่าหมุดหมายแรกควร 1,200-1,500 บาท ส่วนเงินอุดหนุน 3,000 บาทใช้งบ 1.5 แสนล้าน เป็นไปได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องถัดไปที่ต้องทำ อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยในสเต็ปแรกถ้าเป็นไปได้ควรจะให้ถ้วนหน้า 600 บาท และขยายไปสู่ช่วงที่ฝากครรภ์ด้วย ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างอนาคตให้เด็กและทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย

ส่วน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรายืนยันหลักการเดิมว่าสวัสดิการของเด็กเล็กจำเป็นต้องได้รับอย่างถ้วนหน้า หัวใจหลักที่เราต้องการแก้ไขโดยเร่งด่วนคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ 60% ของเด็กและเยาวชนในประเทศนี้อยู่ในกลุ่มของครอบครัวที่มีฐานะยากจนมีรายได้ไม่ได้ไม่ถึง 6,250 บาทต่อเดือน นโยบายของพรรคก้าวไกลเรามีคูปองรับขวัญ หรือกล่องรับขวัญที่จะมีอุปกรณ์ต่างๆ หนังสือนิทานที่จะช่วยเสริมพัฒนาการเด็กและอุปกรณ์สำหรับคุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ โดยคูปองรับขวัญนี้แม่สามารถเลือดสินค้าได้เองมูลค่า 3,000 บาท เราสนับสนุนให้แม่ให้นมลูกเองโดยขยายวันลาคลอด เป็นสิทธิที่ใช้แบ่งกันได้ทั้งพ่อแม่ ระยะเวลาทั้งสิ้นรวมกัน 180 วัน เราเสนอประกันสังคมถ้วนหน้าที่ขยายสิทธิการให้มีเงินชดเชยลาคลอดให้แม่ที่เป็นแรงงานนอกระดับ 6 เดือนๆ ละ 5,000 บาท ส่งเสริมให้อปท.ในพื้นที่จำเป็น เช่นนิคมอุตสาหกรรม มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กตอนกลางวันหรือเดย์แคร์ เพิ่มขึ้น รวมทั้งปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ครอบคุลมมากขึ้น
“ส่วนสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า พรรคก้าวไกลเสนอว่า เราจำเป็นที่จะต้องมีสวัสดิการถ้วนหน้าที่ 1,200 บาทต่อเดือน สำหรับเด็ก 0-6 ขวบ แต่เรามารับฟังว่าความต้องการและความจำเป็นซึ่งเราจะนำความเห็นนี้ไปปรับปรุงดูว่าเราจะสามารถขยายสวัสดิการถ้วนหน้าเด็กเล็กให้ถึง 3,000 บาทได้หรือไม่ โดยต้องดูความเป็นไปได้ทางการคลังด้วย ซึ่ง 1,200 บาทต่อเดือน ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 6 หมื่นล้านบาท ถ้าต้องถึง 3,000 ก็จะใช้งบเพิ่ม 1.5 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายแต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ โดยต้องปฏิรูประบบภาษีด้วย ตัดลดงบประมาณกองทัพ งบกลาง เพื่อให้สามารถมีสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับทุกคนได้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ขณะที่ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ดูแค่เด็กเพิ่มเริ่มเกิด แต่เราต้องดูในช่วงที่เขาอยู่ในครรภ์ของมารดาด้วย ซึ่งครอบครัวมีความสำคัญ เราจะต้องไม่ผลักภาระทั้งหมดให้กับแม่เพียงคนเดียว พ่อต้องมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วย โดยภาครัฐจะต้องให้พ่อได้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูเด็ก สิ่งที่สามารถทำได้คือให้สิทธิพ่อได้รับการลางานจากองค์กรที่ทำทำงานเพื่อมีส่วนร่วมดูแลลูก อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐสามารถจัดทำได้คือเครดิตถุงเงิน โดยรัฐสนับสนุนให้เครดิตถุงเงินกับผู้ที่ตั้งครรภ์ครบ 8 เดือน สามารถนำไปจัดหาสิ่งจำเป็น เช่น นมผง วิตามิน อุปกรณ์ดูแลเด็กเล็ก มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นร่วมดูแลเด็ก เป็นต้น ตนไม่เชื่อว่ารัฐจะมีงบประมาณไม่เพียงพอในการดูแลส่วนนี้ มีหลายนโยบายที่พรรคเพื่อไทยกำลังดำเนินการโดยจะรับฟังจากเวทีและการพบปะประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำมาจัดทำเป็นนโยบายต่อไป
นายพรชัย มาระเนศตร์ ทีมพัฒนาเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เราไม่ได้มองนโยบายเด็กเล็กในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เป้าหมายของพรรคือจะทำอย่างไรที่เราจะเพิ่มจำนวนประชาชนที่ได้รับเงินเดือนสูงขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยต้องมีเงินช่วยเหลือแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนลูกอายุถึง 8 ขวบ โดยตัวเลขที่เป็นตุ๊กตาของพรรคอยู่ที่เดือนละ 2,000 บาท และจะเปลี่ยนชื่อศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นศูนย์พัฒนาและรับเลี้ยงดูเด็กทารก และต้องมีเทคโนโลยีเพื่อเข้าใจสถานการณ์เด็กรายบุคคล จัดทำบิ๊กดาต้าเด็กเชื่อมโยงข้อมูลเด็กตั้งแต่ฝากครรภ์จนเข้ารับบริการในหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
น.ส.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนแก่ ซึ่งการดูแลเด็กเล็ก และการให้สวัสดิการถ้วนหน้าเด็กเล็ก 0-6 ขวบ ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่พรรคได้ประกาศไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการนำเสนอตัวเลขจากทางเครือข่ายหรือหลายพรรคการเมืองในตัวเลข 3,000 บาท หรือ 1,200 บาท หลังจากที่พรรคได้พูดคุยกับเครือข่ายแล้วเรายอมรับในหลักการว่าควรมีการให้สวัสดิการถ้วนหน้าแก่เด็กเล็ก แต่ในเรื่องตัวเลขพรรคยังไม่สามารถตอบได้ในเวลานี้ แต่สัญญาว่าเราจะกลับไปทำการบ้านและดูความเป็นไปได้ในตัวเลขที่เหมาะสมต่อไป
จากนั้นทางคณะทำงานฯ และทั้ง 10 พรรคการเมือง ได้ร่วมแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์เพื่อผลักดันสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ซึ่งทางคณะทำงานและเครือข่ายจะมีการติดตามการทำงานของพรรคการเมืองทุกพรรคในประเด็นนี้ต่อไป