เมื่อวันที่ 25 พ.ย. น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตยานนาวา-บางคอแหลม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนความเป็นห่วงภาวะสมองไหลของบุคลากรภาคการเงิน เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประเภท FinTech (Financial Technology) หรือเทคโนโลยีทางการเงินเติบโตอย่างมหาศาล มูลค่าทางการตลาดของกลุ่มธุรกิจ FinTech ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ $110.59 billion หรือประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการคาดการณ์อัตราการเติบโตรายปีแบบผสม (CAGR) อยู่ที่ 20.5% ต่อปี (อ้างอิงข้อมูลจาก GlebeNewswire) การเติบโตของตลาด FinTech ในภาพรวม ทำให้เห็นบริษัท Start Up หน้าใหม่มากหน้าหลายตาในประเทศไทย ที่ทำธุรกิจประเภท FinTech กันมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าวว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในช่วงขาขึ้นนี้ อาจจะเกิดภาวะสมองไหล หรือภาวะคนมีทักษะความรู้เฉพาะด้านหนีออกนอกประเทศ เกรงว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยข้อจำกัดของประเทศเราจะทำให้ บริษัท IT, บริษัท Fintech หรือบริษัท Start Up ไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศด้วยหลายปัจจัย เช่น เรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หากกลับมาวิเคราะห์เฉพาะประเทศในแทบอาเซียน ตั้งแต่ปี 2018-2022 อ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์จาก UOB Group จะเห็นได้ว่า เม็ดเงินการลงทุนจากนักลงทุน กองทุน และสถาบันทางการเงินในธุรกิจ FinTech เติบโตขึ้นทุกปีเริ่มตั้งแต่ ปี 2018 – เงินลงทุนรวม $863.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2019 – เงินลงทุนรวม $1.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2020 – เงินลงทุนรวม$1.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปรับตัวลงเล็กน้อยเนื่องจาก COVID-19) ปี 2021 – เงินลงทุนรวม $5.96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2022 – เงินลงทุนรวม $4.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ม.ค. – ต.ค.)
น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจคือเม็ดเงินจากการลงทุนกว่า 75% ถูกนำไปลงทุนให้กับบริษัท FinTech จากประเทศสิงคโปร์และอินโดนีเซีย และบริษัทจากประเทศไทย ได้รับเงินลงทุนอยู่เพียงไม่ถึง 3% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ในสายตาของนักลงทุน บริษัท FinTech ที่มาจากประเทศที่มีความน่าเชื่อถือสูงอย่างสิงคโปร์ หรือประเทศที่มีอัตราการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชากรต่ำอย่างอินโดนีเซีย น่าจะตอบโจทย์การลงทุนในธุรกิจ FinTech มากกว่าประเทศอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน ซึ่งหมายถึงกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในประเทศเหล่านี้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มผู้ลงทุนมากกว่าบริษัทที่อยู่ในประเทศไทย
น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่สองคือ การสนับสนุนจากภาครัฐปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบอกเสียงที่ดีที่สุดของประเทศ คือการการสนับสนุนของหน่วยงานรัฐบาล หลายประเทศทั่วโลกที่ต้องการดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศตัวเองนั้น ย่อมต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐทั้งสิ้น เช่น ประเทศสิงคโปร์ ที่มีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจต่างชาติตามระยะเวลาที่กำหนด มีการอำนวยความสะดวกในการขอวีซ่า และการจดทะเบียนบริษัทที่ไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้จาก offshore หรือประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูไบ ที่มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนออกมาสนับสนุนธุรกิจต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับ FinTech, Blockchain Technology, Cryptocurrency ด้วยการจัดงานอีเวนต์ระดับโลกเช่น Future Blockchain Summit, Crypto Expo Dubai, Dubai Fintech Summit ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ที่สนใจจากทั่วโลกให้มาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ นักลงทุน เจ้าของกิจการ รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่พร้อมจะเข้ามาลงทุนเปิดบริษัทที่ดูไบ หรือประเทศสหรัฐ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีการจัดผังเมืองใหม่เพื่อรองรับธุรกิจเฉพาะทาง เช่น Silicon Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่รวบรวมธุรกิจประเภทเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน และ Crypto Valley แห่งเมือง Zug ที่รวบรวมธุรกิจประเภท Blockchain และ Distributed Ledger ไว้ในพื้นที่เดียวกัน ข้อดีของการสนับสนุนเช่นนี้ คือการที่ธุรกิจประเภทเดียวกันอยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น ทำให้ง่ายต่อการไปมาหาสู่ จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างNetworking ร่วมกัน รวมไปถึงความสะดวกต่อหน่วยงานรัฐที่สามารถตรวจสอบบริษัทต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และการวางผังเมืองแบบนี้ยังช่วยขยายความเจริญและความหนาแน่นของประเทศไปได้อีกด้วย
น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนปัจจัยที่สาม คือ การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายให้เท่าทันเทรนด์และเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องจำเป็นมาก การจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายใดๆ ในประเทศไทยให้รวดเร็วเท่าทันโลก เป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน ดิฉันเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้กฎหมายเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีได้ทัน แต่ดิฉันว่าสิ่งที่จะช่วยสร้างประสิทธิภาพในการออกกฎและเงื่อนไขต่างๆ ได้ดีขึ้น คือการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้ประกอบการและผู้บริโภค รับฟังความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะออกกฎใดๆ มาเพื่อควบคุม
น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าวด้วยว่า นี่เป็นเพียง 3 ปัจจัยเล็กๆ ที่เป็นอุปสรรคทีทำให้ประเทศไทยอาจสูญเสียโอกาสในการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งหากย้อนกลับมาดูรายงาน GPD ย้อนหลังของประเทศไทยจะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการส่งออก ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ ในขณะที่ประเทศอื่นใน อย่าง สิงคโปร์ จีน หรือแม้แต่อินโดนีเซีย เริ่มที่จะหา S-Curve ใหม่ๆ หลังจากได้รับบทเรียนจากวิกฤติโควิด-19
“อยากตั้งคำถามลมแห่งการแข่งขันด้าน Digital Hub มารวดเร็วมาก หากในอนาคตเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหญ่จนทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง อัตรานักท่องเที่ยวลดลงต้นทุนการนำเข้าและส่งออกเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลชุดนี้มีเรามีแผนสำรองอย่างไร ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยควรมองหา S-Curve ใหม่ เช่นการสร้าง Digital Hub โดยเฉพาะบริษัท Start Up ในประเทศไทย ไม่อยากเห็นผู้ประกอบการเริ่มหมดหวังในประเทศ และหาแผ่นดินอื่นในการประกอบธุรกิจ ซึ่งภาวะสมองไหลออกนอกประเทศนี้ ประเทศไทยจะเสียโอกาสเป็นอย่างมาก โดยบันไดขั้นแรกคือพยายามหาแนวทางที่ทำให้คนในประเทศไม่สมองไหลออกไป ก็อาจจะง่ายกว่าการคิดวิธีให้คนในประเทศกลับมาภายหลัง” น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ กล่าว.