นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 8 พ.ย.65 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ก.พ.66 โดยมีสาระสำคัญ 3 เรื่องหลัก คือ 1.การลดจำนวนผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำกัดจาก 3 คน เหลือแค่ 2 คน 2.การควบรวมกิจการเข้าด้วยกันมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น จะไม่ใช่จากบริษัท ก บวก ข ต้องเป็น ค เท่านั้น ต่อไป ก บวก ข จะเป็น ค หรือ เป็น ก หรือ เป็น ข ก็ได้ แล้วแต่ผู้ประกอบการจะเลือกว่าจะใช้บริษัทใด และ 3.ยกเลิกการนำหนังสือเชิญประชุมไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์ ยกเว้นบริษัทที่มีหุ้นผู้ถือเท่านั้นที่ยังต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์อยู่
“การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย จะทำให้มีความทันสมัยรองรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของเทคโนโลยี ส่งเสริมให้จัดตั้งบริษัทจำกัดได้ง่ายขึ้น เพิ่มความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ อีกทั้งช่วยให้บริษัทจำกัดสามารถควบรวมกิจการได้มากกว่าหนึ่งลักษณะ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศและสร้างภาพลักษณ์อันดีในการประกอบธุรกิจ รองรับระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ประการสำคัญที่สุด คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงานให้ผู้ประกอบธุรกิจตามนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง”
นอกจากนี้ การแก้ไขกฎหมาย ยังมีประเด็นที่เปลี่ยนแปลงอื่น อาทิ การยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทสามารถยื่น ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด จากเดิมสำนักงานใหญ่อยู่ในจังหวัดใด ต้องจดทะเบียน ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนั้นเท่านั้น ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนด ลด หรือยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการ หรือหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ หากไม่ดำเนินการจดทะเบียนบริษัทจำกัดภายใน 3 ปีสิ้นผลทันที จากเดิมที่ไม่มีอายุของการสิ้นผล ทำให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้ชื่อบริษัทที่ปรากฏในหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ได้ บริษัทใดมีตราประทับต้องประทับตราในใบหุ้นทุกใบ ให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการประชุมกรรมการได้เพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
นายสินิตย์ กล่าวว่า เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังได้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 ให้สอดคล้องกับการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วยแล้ว เพื่อให้สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงที่กำหนดตามกฎหมายฉบับนี้ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนในโอกาสต่อไป.