เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ รร.รามาการ์เด้นส์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) บรรยายพิเศษ เรื่อง “ผู้ว่าราชการจังหวัด : ความคาดหวังของประชาชน” ตามโครงการศึกษาอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมี นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวง ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ร่วมรับฟัง

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอันเป็น “ตำแหน่งที่มีความสำคัญที่สุด” ต่อความมั่นคงของประเทศชาติ มีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญควบคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นความภาคภูมิใจของตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่านที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งล้วนแต่มีโอกาสในการที่จะได้สร้างเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือประวัติศาสตร์ของชีวิตท่าน ในการที่จะได้ทำสิ่งที่ดีที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้ทำ แม้แต่ท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีโอกาสเช่นทุกท่าน เพราะตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จะต้องปฏิบัติราชการทำหน้าที่ทั้งในเชิงปฏิบัติและเชิงนโยบาย คือ ลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อจะได้พบเห็นความสุขที่ฉายอยู่ในแววตาของพี่น้องประชาชน และจะได้คิดหาแนวทางแก้ไขความทุกข์ยากลำเค็ญของพี่น้องประชาชน เพื่อจะได้เห็นความสุข ความปลื้มปีติที่ฉายในแววตาของพี่น้องประชาชน โดยขอให้ได้ระลึกนึกถึงวันแรกที่ทุกท่านได้มาเป็นข้าราชการ ทั้งปลัดอำเภอ และตำแหน่งต่างๆ ที่ต่างมี Passion ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำ เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งวันนี้ทุกท่านได้โอกาสนั้นแล้ว
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกท่านตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังก็จะทำให้รู้สึกว่า “มีความสุข” ดังนั้น จึงต้องลงมือทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพราะทุกวินาทีที่มีตำแหน่ง มีโอกาส ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของชีวิต สร้างประวัติศาสตร์ของสถาบันมหาดไทย อันประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.ต้องสดับตรับฟังภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี อันประกอบด้วย ภาครัฐภาคผู้นำศาสนา ภาคผู้นำวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชนที่อยู่ในพื้นที่ “ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง” และ “ไตร่ตรองด้วยสติ” อย่ามีอคติ โกรธเคือง ทุกข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ เพื่อจะพัฒนาตนเอง พัฒนาพื้นที่ให้ดีขึ้น ต้องรู้จักการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ค้นหาจุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเราเอง และ 2.การทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันของทุกท่านมีพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนติดตามอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิต จึงต้อง “คิดดี ทำดี และทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง” และ “ความจริงใจเป็นสิ่งที่จำเป็น”

“องค์หลักชัยของพวกเราทุกคน คือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกเราดำรงตำแหน่ง และทรงมอบหมายความไว้วางพระราชหฤทัยให้เราไป “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” พี่น้องประชาชน ดังนั้น ทุกคนต้องน้อมนำพระบรมราชโองการ “สืบสาน รักษาและต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร์” และ“ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักในการปฏิบัติราชการในทุกเรื่อง เพื่อเป็นเกราะป้องกันจิตใจของเราให้มั่นคงในการทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำให้ประเทศชาติของเราเป็นปึกแผ่น เป็นเอกรัฐมั่นคงอยู่ได้ ให้สมกับที่เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ยึดถือปฏิบัติมาเป็นระยะเวลาถึง 130 ปี ด้วยการมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างภาคภูมิใจ เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษของประเทศชาติและชาวมหาดไทย ทำให้ความทุกข์ของประชาชนลดลงจนหมดไป มีแต่ความสุขเพิ่มพูนขึ้นอย่างยั่งยืน ด้วยการหมั่นลงพื้นที่เยี่ยมเยียน “นั่งอยู่ในหัวใจประชาชน” ดั่งคำปรารภในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงกล่าวว่า “ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” รวมทั้งทำงานร่วมกับฝ่ายการเมืองในพื้นที่ โดยยึดและปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีความสำคัญและทำให้เกิดความเชื่อมั่นของหัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ คือ “ภาวะผู้นำ” อันได้แก่ 1.ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีความแน่วแน่ มีความมุ่งมั่นในการเป็น “ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ต้องมี Passion ในการปฏิบัติราชการ ด้วยอุดมการณ์ของความเป็นข้าราชการที่อยากทำแต่เรื่องดีๆ ทำหน้าที่ทั้งในฐานะผู้กำหนดนโยบาย และผู้บริหารปฏิบัติการในพื้นที่ดังนั้น “อะไรที่รัฐบาลไม่ได้สั่ง กระทรวงมหาดไทยไม่ได้สั่ง แต่เป็นประโยชน์ในพื้นที่ ขอให้ใช้ภาวะผู้นำทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในพื้นที่” 2.ปฏิบัติตนให้เป็นรวงข้าวที่สุกโน้มลงไปหาพระแม่ธรณีด้วยการโน้มตัวเข้าไปหาหัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อReview สิ่งที่อยากจะทำ รับฟังข้อแนะนำ และต้องลงไปหาพี่น้องประชาชน ลงไปค้นหาปัญหาลงไปพูดคุย ลงไปเพื่อสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนด้วยตนเอง
นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า 3. ต้องไม่ทำอะไรคนเดียว ต้อง “บูรณาการ” ด้วยการขับเคลื่อนร่วมกับนายอำเภอและทีมอำเภอที่ผ่านการฝึกอบรมโครงการอำเภอนำร่องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขด้วยการศึกษาแนวทางในการสร้าง “ทีมจังหวัด” “ทีมอำเภอ” “ทีมตำบล” “ทีมหมู่บ้าน” ให้ครบทุกชุมชน/หมู่บ้าน เพื่อให้มีทีมงานในการขับเคลื่อนสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประชาชนทั้งจังหวัด 4.ต้องเป็น “ผู้นำลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ” อาทิ การสวมใส่ผ้าไทย อันมีนัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการผ้า ช่างทอผ้า ในพื้นที่ และส่งผลทำให้เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง ทำให้คนมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ต้องหมั่นลงไปติดตามผล ไปให้กำลังใจรวมถึงเรื่องที่ประชาชนในพื้นที่หรือผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ความสนใจ เพื่อสร้างเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับประชาชน 5.ต้องทำทุกเรื่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิด “ความยั่งยืน” เช่น การปลูกต้นไม้ ไม่ใช่สักแต่ปลูก แต่ต้องดูแล ด้วยการคิด วางแผน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป มีกลุ่มจิตอาสาไปช่วยดูแล ด้วยการใช้ “ใจ” และ “องค์ความรู้” ทำให้ส่วนรวม ทำให้ประเทศชาติ อย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้เกิดการสร้างจิตสำนึก สร้างนิสัย สร้างวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน เช่น วัฒนธรรมการสวมใส่หมวกกันน็อก เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
นายสุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า รวมถึงการน้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารด้วยการปลูกผักสวนครัว เริ่มตั้งแต่ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด บ้านพักข้าราชการ เป็น “ผู้นำต้องทำก่อน” เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีพืชผักสวนครัวไว้บริโภคในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ให้น้อมนำแนวพระดำริ “หมู่บ้านยั่งยืน : Sustainable Village” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรด้วยการส่งเสริมประชาชนได้ “พึ่งพาตนเอง” เลี้ยงกบ ไก่ ปลา เป็ด จิ้งหรีด ไว้บริโภค มีเหลือไว้แบ่งปัน หรือจำหน่ายสร้างรายได้ และทำให้คนลด ละ เลิกในเรื่องอบายมุข เพื่อทำให้สถาบันครอบครัวมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งส่งเสริมในเรื่องอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชน
นายสุทธิพงษ์ ยังกล่าวถึง “การทำหน้าที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย” โดยเน้นย้ำว่า การตรวจราชการ ไม่ใช่ตรวจตามธรรมเนียมประเพณี แต่ต้อง “ตรวจอย่างจริงจัง” ในฐานะผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่ใช้อำนาจของปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เหนือกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อพัฒนางานให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และทำให้ผู้บริหารส่วนกลางได้รับทราบข้อมูล ทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ต้องปรับปรุงของจังหวัด ต้องทำให้จริงจัง เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการบริหาร การวินิจฉัย อันจะได้สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับประชาชนในทุกพื้นที่สิ่งที่ไม่ดี จะได้รับการแก้ไข เพราะหน้าที่ของคนมหาดไทย คือ “การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข”
“ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมุ่งมั่นทำหน้าที่ในฐานะ “คนของพระราชา” ผู้บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชนผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่านให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ด้วยการยึดหลักการของคำว่า “บูรณาการ” ในทุกเรื่อง เช่น การน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “น้ำคือชีวิต” ไปบูรณาการทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ว่าจะทำอย่างไร ทำให้เราสามารถเก็บน้ำในฤดูฝนเพื่อแบ่งมวลน้ำไม่ให้น้ำไปท่วมบ้านเรือนประชาชน และในฤดูแล้งมีน้ำไปใช้ในการประกอบอาชีพ และเสริมด้วยธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดในบางจุดที่น้ำท่วมขัง น้ำไหลผ่าน ซึ่งทั้งหลายจะเกื้อกูลไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้ทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ รวมถึงการส่งเสริมผ้าไทย มิใช่สะท้อนเพียงเรื่องของการแต่งกาย แต่มันเป็นการบูรณาการในทุกขั้นตอนจนกระทั่งปลายน้ำ คือ ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร ด้วยการส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ผู้ประกอบการ ช่างทอผ้า เข้าใจหลักการพึ่งพาตนเอง ทั้งการปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกต้นไม้ให้สีธรรมชาติ หรือแม้แต่เรื่องการส่งเสริมการรับชม “โขนภาพยนตร์” ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็สามารถบูรณาการทั้งมิติการศึกษา วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี อาทิ ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนที่ไปรับชมโขนภาพยนตร์ได้มีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติม ทั้งการเขียนบทความ เขียนสรุปความ การวาดภาพระบายสี การสร้างเสริมการเรียนรู้อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้การทำหน้าที่ของทุกท่านเป็นการทำหน้าที่เพื่อยังประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์กล่าว.