สำหรับเออร์ติกาใหม่มี 2 รุ่นให้เลือกคือรุ่นรองรหัส GL ราคา 783,000 บาท กับรุ่นท็อปรหัส GX ราคา 839,000 บาท ที่ทางซูซูกิ มอเตอร์ฯ ได้จัดให้ทดลองขับในทริปนี้ รูปทรงภายนอกปรับเปลี่ยนไปไม่มากโดยด้านหน้ายังมีลักษณะที่ลาดเทเป็นรูปลิ่มเพื่อความลู่ลมเหมือนเดิม ชุดไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ทรงเดิมแต่เพิ่มระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติกับระบบ Guide Me light หรือไฟส่องสว่างเพื่อการมองเห็นในที่มืดซึ่งจะมี 2 ฟังก์ชัน คือส่องแสงนำทางขณะเข้าบ้านกับส่องแสงนำทางไปยังที่รถจอดอยู่หลังจากกดรีโมต กระจังหน้าปรับเปลี่ยนลวดลายใหม่ให้ดุดันขึ้นด้วยการขยายขนาดของส่วนมีเป็นโครเมียมให้ใหญ่ขึ้น

ระบบล็อกประตูควบคุมด้วยรีโมตแบบคีย์เลสเอนทรีที่ประตูคู่หน้า โดยประตูทั้ง 4 บานเปิดกว้างมากช่วยให้เข้า-ออกได้ง่าย กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้ากับเพิ่มระบบพับอัตโนมัติเมื่อล็อกรถ ล้อแม็กรุ่นจีเอ็กซ์ยังใช้ลายเดิมขนาด 15 นิ้ว ฝาท้ายมีการย้ายตำแหน่งของคิ้วโครเมียมจากเดิมที่คาดอยู่ใต้โลโก้ “S” ขึ้นมาด้านบนแทนกับเพิ่มโลโก้เออร์ติกา ไฮบริด (ERTIGA HYBRID) ด้านท้ายรถด้านขวา

ชุดไฟท้ายแอลอีดีแบบ Light Guides และมีชุดไฟเบรกดวงที่ 3 ที่ขอบด้านบนของฝาท้าย กระจกบังลมหลังมีระบบไล่ฝ้าพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกกับใบปัดน้ำฝน กล้องมองหลังและเซ็นเซอร์ตรวจ 2 จุด จับสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง ฝาท้ายเปิดขึ้นด้านบนได้สูงถึง 184 ซม. และมีความสูงถึงพื้นห้องเก็บของอยู่ที่ 71.5 ซม. ช่วยให้การยกของเข้า-ออกสะดวก
เออร์ติกาใหม่ใช้แพลตฟอร์มแบบ “ฮาร์ทเทค” โครงสร้างแข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบากว่าเออร์ติการุ่นแรกถึง 50 กก. นอกจากนี้แพลตฟอร์ม “ฮาร์ทเทค” ยังถูกออกแบบให้มีรูปทรงลู่ลมมากขึ้นส่งผลให้อากาศไหลผ่านใต้ท้องรถได้อย่างราบเรียบ ลดทั้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน เสียงรบกวน และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่
ภายในห้องโดยสารเน้นตกแต่งดูหรูหราด้วยลายไม้สีเทาโทนใหม่ที่ชุดคอนโซลหน้า, แผงข้างประตูหน้าและพวงมาลัย วงพวงมาลัยใช้แบบ 3 ก้านหุ้มหนังทรงตัว D ช่วยให้มีระยะห่างจากต้นขาผู้ขับมากขึ้น และปรับสูงต่ำได้ 40 มม. มีระบบพาวเวอร์ไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง กับมีปุ่มความคุมเครื่องเสียงกับรับโทรศัพท์อยู่ที่ก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ส่วนทางด้านขวาเพิ่มปุ่มควบคุมระบบตั้งความเร็วหรือ Cruise Control ระบบสตาร์ตเครื่องแบบใช้ปุ่มกดที่เพิ่มระบบ Auto Start Stop มาให้ด้วย ชุดมาตรวัดความเร็วใหม่เป็นจอภาพสีขนาด 4.2 นิ้ว แบบ TFL ความคมชัดสูง ตอบสนองต่อการแสดงผลได้หลายรูปแบบและประมวลได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนจอกลางเป็นแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียดสูง ใช้ควบคุมเครื่องเสียงติดรถที่เป็นชุดวิทยุพร้อมลำโพง 4 ตำแหน่งรองรับแอปเปิลคาร์เพลย์/แอนดรอยด์ ออโต้ และแสดงภาพจากกล้องมองหลังมีฟังก์ชันเชื่อมต่อผ่านระบบบลูทูธ ช่องเชื่อมต่อ HDMI และช่องต่อยูเอสบีและยังเพิ่มที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายที่ด้านหน้า
คันเกียร์ มีที่วางแก้วน้ำรอบคันมีทั้งหมด 8 ตำแหน่ง โดยที่วางแก้วตรงคอนโซลกลางจะมีช่องเป่าลมเย็น 2 ตำแหน่ง
สำหรับชุดเบาะนั่งเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่งนั้นการปรับปรุงหลัก ๆ จะอยู่ที่เปลี่ยนผ้าหุ้มเบาะสีเทาลายใหม่ เบาะคู่หน้าปรับท่าเป็นแบบกลไกเฉพาะด้านคนขับปรับสูงต่ำได้ 60 มม. การออกแบบปีกของพนักพิงและเบาะรองนั่งให้ความรู้สึกสบายและกระชับตัวดีมาก เบาะแถวที่ 2 เป็นแบบ 3 ที่นั่งแยก 2 ชิ้นแบบ 60/40 สามารถเลื่อนเดินหน้าถอยหลังได้ช่วยให้นั่งเหยียดขาได้สบายขึ้น เมื่อไม่มีผู้โดยสารแถวที่ 3 นอกจากนี้พนักพิงหลังยังสามารถปรับเอนนอนได้ พร้อมระบบพับเฉพาะพนักพิงหลัง เพื่อเปิดทางเข้าสู่ที่นั่งแถวที่ 3 ส่วนเบาะแถวหลังสุดนั้นมีที่วางขาไม่มาก ถ้าจะต้องนั่งทางไกลไม่สบายแน่นอน การพับเป็นแบบแยกพับ 50/50 ช่วยให้ปรับพื้นที่บรรทุกได้หลายแบบตามความเหมาะสมที่พื้นห้องเก็บสัมภาระหลังเป็นแบบสองชั้นมีฝาปิด ความจุของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังขนาด 153 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะนั่งแถวที่ 3 ลงจะเพิ่มความจุขึ้นเป็น 550 ลิตร และถ้าพับเบาะแถว 2 ลงด้วยจะเพิ่มความจุขึ้นเป็น 803 ลิตร
สำหรับมาตรฐานความปลอดภัยประกอบไปด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 6 ที่นั่งกับแบบ 2 จุด 1 ที่นั่งจุดยึดเก้าอี้เด็กที่เบาะแถว 2 ระบบ สัญญาณกันขโมย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก(เอบีเอส) ระบบกระจายแรงเบรก (อีบีดี) ระบบเสริมแรงเบรก (บีเอ) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (อีเอสพี) และระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน
ขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส “เค15 บี” ที่มีกำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ Integrated Starter Generator (ISG) Mild Hybrid ที่ให้กำลังสูงสุด 2.3 Kw กับแรงบิด 50 นิวตัน-เมตร และแบตเตอรี่ Lithium-ion 6Ah12V ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบช่วงล่างทางด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีมกับสปริงขดระบบเบรกแบบหน้าดิสก์หลังดรัม

ในด้านสมรรถนะการขับตัวมอเตอร์ ISG จะเข้ามาเสริมกำลังในช่วงออกตัวและขณะเพิ่มความเร็ว ซึ่งในเรื่องพละกำลังเท่าที่ลองดูแล้วก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ารถแรงขึ้นอย่างชัดเจน แต่เรื่องความประหยัดแล้วสำหรับการขับในเมืองตัวเลขจากโรงงานแจ้งว่าดีขึ้นจากรุ่นก่อนที่ 12.7 กม./ลิตร เป็น 15.9 กม./ลิตร หรือ +25.5% ส่วนการขับทางไกลดีขึ้นจาก 18.5 กม./ลิตร เป็น 19.2 กม./ลิตร หรือแค่ +4% ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการขับด้วยความ เร็วสูงแบบคงที่นั้นกำลังหลักที่ใช้จะมาจากเครื่องยนต์ ตัวมอเตอร์ ISG จะไม่ค่อยได้เข้ามาช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนบ่อย ๆ เหมือนขณะที่ต้องเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่งแบบการใช้งานในเมืองที่การจราจรคับคั่งและเมื่อมีการเบรกหรือชะลอความเร็วตัวมอเตอร์ ISG ก็จะกลับมาทำหน้าที่ชาร์จไปกลับไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ลิเธียม-ไออน 6Ah 12V ที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะของผู้โดยสารตอนหน้า
โดยรวมจุดเด่นของซูซูกิ เออร์ติกา สมาร์ท ไฮบริด ใหม่ ยังเป็นเรื่องของพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง นั่งสบายยามเดินทางไกล มีมุมมองโดยรอบตัวรถที่ดี พวงมาลัยตอบสนองแม่นยำเบาแรงและควบคุมง่ายเครื่องยนต์มีอัตราเร่งออกตัว และอัตราเร่งแซงบนทางราบที่ไว้วางใจได้ แต่ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนคือการขึ้นทางลาดชันไม่มีอาการอืดแบบรุ่นก่อน การทำงานของระบบช่วงล่างนิ่มนวล การทรงตัวในช่วงทางตรงมั่นคงดีเยี่ยม ส่วนในทางโค้งก็จะมีอาการโคลงอยู่บ้างตามลักษณะของรถที่มีช่วงหลังคาสูง อย่างไรก็ตามทางด้านบมาตรฐานความปลอดภัยและอุปกรณ์ติดรถที่เพิ่มขึ้น มาให้นั้น ถือว่าจัดมาให้ในระดับที่คุ้มราคาค่าตัวที่เพิ่มขึ้นอีก.