ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่มีการ ‘ปลดล็อกกัญชา’ ออกจากบัญชียาเสพติดเมื่อ 9 มิถุนายน 2565 จนถึงตอนนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ในภาวะ ‘สุญญากาศ’ ด้านการควบคุมกัญชา จนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการโจมตีทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและเห็นต่าง
อย่างไรก็ตามข้อกังวลและความสับสนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ…. ต้องเร่งออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์อย่างรอบคอบ รวดเร็ว ที่สุด เพราะนอกจากการออกกฎหมาย การเร่งสร้างความเข้าใจถึงขอบเขตนโยบายเสรีกัญชาที่ชัดเจนในสังคมแล้ว อีกด้านหนึ่งคือการให้ความชัดเจนกับประชาชนและผู้ประกอบการ ที่ลงทุนใน “ธุรกิจกัญชา” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

โดยในงาน SMEs HERO TALK จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคมที่ผ่านมา นายธวัช จรุงพิรวงศ์ ประธานวิสาหกิจชุมชน Thai
Herb Centers ซึ่งได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “SMEs ธุรกิจกัญชา สมุนไพรไทย ไปต่อได้อย่างไร” กล่าวว่า เมื่อพูดถึงกฎหมายสำคัญที่อยู่
ระหว่างรอการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ คือ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง นั้นเป็นกุญแจดอกสำคัญในการหาทางออกให้กับปัญหาการ
ใช้กัญชา รวมถึงจะเป็นการหาทางออกให้กับผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายใหญ่ เช่นเดียวกับวิสาหกิจชุมชนที่มีการปลูก แปรรูป
และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็มีความจำเป็นที่จะได้ข้อสรุปของกฎหมายเพื่อความชัดเจนเช่นกัน

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเดินหน้าต่อเพราะขณะนี้69 ประเทศกำลังจะเปิดเสรีกัญชา แต่เรายังอยู่ในวังวนการเมือง
เนื่องจากมีผู้ได้ และผู้เสียผลประโยชน์ เราจำเป็นต้องผลักดันกฎหมายออกมาให้เป็นรูปธรรม เราต้องเดินหน้าต่อ อย่าลืมว่า
ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่สามารถนำ ใบ กิ่ง ราก ลำต้น มาแปรรูป เอามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อบำบัดรักษาโรค ทั้ง
คนและสัตว์ พัฒนาเป็นเครื่องสำอาง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แต่เรายังไม่ก้าวไปถึงไหน ตอนนี้ทางภาครัฐควรสนับสนุนเรื่องการจด
สิทธิบัตรเกี่ยวกับการพัฒนากัญชาของไทย ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับข้าวหอมมะลิ หรือเรื่องอื่นๆ ที่เป็นของเราแต่ใน
ที่สุดก็กลายไปเป็นของคนอื่น”

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า กัญชาหางกระรอกของไทย ส่งขายตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เพราะดีที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2453 หรือ
กว่า 100 ปีมาแล้ว ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ได้เขียนในหนังสือตำรับอาหารว่าใช้ใบกัญชาดั่งเช่นใบกะเพรา การใช้กิ่ง ก้าน ใบ
ราก ลำต้น จึงเป็นภูมิปัญญาของไทยที่มหัศจรรย์มาก และในตอนนี้วิสาหกิจชุมชน ภาครัฐ เอกชน ก็ได้พยายามพัฒนาต่อยอด
ผลิตภัณฑ์กัญชาขึ้นมาเพื่อบำบัดรักษาสุขภาพ ซึ่งคาดว่า แนวโน้มของความต้องการกัญชาโลก ในตลาดจะพุ่งสูงขึ้นไม่หยุด โดยในปี
2567 คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 1.039 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์มีสัดส่วนราว 60% และอีก 40%
เป็นตลาดกัญชาเพื่อการสันทนาการ ซึ่งหากประเทศไทยมีการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
และมีการจำหน่ายในรูปแบบเชิงพาณิชย์ ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ของไทย น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7,000 – 10,000 ล้านบาท
“วิสาหกิจชุมชน Thai Herb Centers มีความตั้งใจทั้งในเรื่องการปลูกกัญชาทางการแพทย์ การแปรรูป และการพัฒนา
เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ยาดม ยาหม่อง ยานวด น้ำผึ้งรากกัญชา ลูกประคบ ฯลฯ โดยสินค้าทุกชนิดต้องผ่าน อย. นอกจากนี้เรายังมี
การอบรมการปลูกกัญชาทางการแพทย์มากว่า 60 รุ่น โดยมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพเป็นสำคัญ สำหรับการปลูกจะปลูกในร่ม ซึ่งบ้าน
เราการปลูกนั้นพัฒนาไปเร็วมาก แต่เราจะแข่งขันกันอย่างไรให้ช่อดอกมีคุณภาพที่ดีที่สุดเพื่อนำมาใช้ในทางการแพทย์และเพื่อ
สุขภาพ”

นายธวัช กล่าวในตอนท้ายว่า เมื่อเร็วๆ นี้ประเทศไทยมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวครบ 10 ล้านคน ปฏิเสธไม่ได้ว่า
นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเดินทางเข้ามาเพื่อ “สันทนาการ” ซึ่งหากไม่มีการควบคุมหรือมีกฎหมายที่ชัดเจนนี่จะเป็นข้อเสีย เมื่อมอง
ภาพรวมเราเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปลดล็อกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ขณะนี้ ทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซีย กำลัง
เร่งศึกษาเรื่องปลดล็อกเช่นกัน หากเรายังไม่รีบก้าวต่อไป ภาครัฐยังไม่เข้ามาสนับสนุนในมิติของกัญชากับเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
รวมทั้งการเร่งออกกฎหมายมาควบคุม ในอนาคตเราอาจจะตามหลังประเทศเพื่อนบ้านที่ตามมาติดๆ