เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ  กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนตั้งข้อสังเกตต่อการตั้งคำของบประมาณประจำปี พ.ศ.2565 ของกระทรวงการต่างประเทศว่าฟุ่มเฟือยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ว่า กระทรวงการต่างประเทศคำนึงถึงผลกระทบของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่มีต่อประเทศไทย  โดยได้ของบประมาณในรายการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองและดูแลคนไทยในต่างประเทศ รวมถึงคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และเหมาะสม สำหรับการตั้งคำของบประมาณจัดซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 12 คัน เป็นการขอเพื่อทดแทนคันเดิมซึ่งมีอายุเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยในปีงบประมาณ 2564 กระทรวงการต่างประเทศได้ชะลอการตั้งคำขอรายการนี้ แต่ในปีงบประมาณ 2565 รถยนต์ดังกล่าวจะมีอายุถึง 10 ปี ซึ่งจะเสื่อมสภาพตามอายุ และเสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซมบำรุงรักษาสูงมาก เป็นภาระงบประมาณ ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่ารถยนต์ประจำตำแหน่งที่มีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 ปี ให้จัดหารถคันใหม่ทดแทนได้ ขณะที่วงเงินก็เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งระบุขนาดเครื่องยนต์และราคาตามที่สำนักงบประมาณกำหนด

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า ส่วนการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสถานที่ กระทรวงการต่างประเทศมุ่งเน้นงานดูแลคุ้มครองคนไทยและรองรับการปฏิบัติภารกิจต่างๆ โดยการซ่อมแซมสนามเทนนิสของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปนนั้น เป็นการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ให้เป็นลานอเนกประสงค์สำหรับการจัดกิจกรรมชุมชนไทยและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยติดตั้งหลังคาคลุม ทำให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวแทนการไปเช่าสถานที่ภายนอกเพื่อจัดกิจกรรม อาทิ โรงแรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง  

นายธานี กล่าวว่า ขณะที่งบประมาณสำหรับการจัดซื้อครุภัณฑ์ อาทิ ตู้แช่ไวน์ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และเครื่องอุ่นจานของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์นั้น เป็นเครื่องใช้ในภารกิจจัดเลี้ยงรับรองทางราชการ ซึ่งของเดิมใช้งานมานานกว่า 20 ปี โดยตู้แช่ไวน์จัดซื้อเมื่อปี 2546 และเครื่องอุ่นจานจัดซื้อเมื่อปี 2538 ทั้งนี้ ราคาค่าครุภัณฑ์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมีวงเงินแตกต่างตามค่าครองชีพและราคามาตรฐานของประเทศนั้นๆ ซึ่งในทวีปยุโรปจะมีราคาสูง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศได้กำชับให้สถานเอกอัครราชทูตไทยที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้งบประมาณเท่าที่จำเป็น และคำนึงถึงหลักประหยัดเป็นสำคัญมาตลอด