เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีมีการจับกุมนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หลังถูกร้องเรียนเรียกรับผลประโยชน์จากหน่วยงานในสังกัด ว่า ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจ และตกใจแก่หลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการของกรมอุทยานฯ เนื่องจากไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยราชการ ได้ให้กำลังใจทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่และข้าราชการของกรมอุทยานฯ ว่า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติงานต่อไป และเรื่องนี้จะเข้าสู่กระบวนการ ใครผิดว่ากันไปตามผิด ตามหลักฐาน ผิดวินัยก็ไล่ออก ผิดอาญาก็ติดคุก ขอให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานทุกคนยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำดีมาตลอด

เมื่อถามว่า มีการพูดกันว่า เงินที่ได้รับมาจากทุกส่วน ก็เอาไปให้ผู้ใหญ่ระดับสูงอีกที จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร นายจตุพร กล่าวว่า ใครพูดอะไรมาก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง ก็ดี จะได้มีการสอบที่มาที่ไปเลยว่าที่บอกว่า เก็บเงินให้ผู้ใหญ่นั้น ผู้ใหญ่คนไหน เป็นใคร ต้องสอบให้ได้คำตอบที่ชัดเจน

เมื่อถามอีกว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรกับนายชัยวัฒน์ ที่ไปร้อง ป.ป.ช. ในเรื่องนี้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ได้ให้กำลังใจนายชัยวัฒน์ไป โดยบอกไปว่า เรื่องนี้ต้องได้รับการสะสางแก้ไข ผิดก็ว่าไปตามผิด

ทางด้านนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้สัมภาษณ์ว่า มีลูกน้องเก่าหลายคนเข้ามาปรึกษา ปรับทุกข์เรื่องของการโยกย้ายแบบเหมารวม เช่น มีตำแหน่งเคยครองอยู่ที่หนึ่ง และปฏิบัติหน้าที่อีกที่หนึ่ง ก็มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่เคยครอง ดังนั้นจะมีเช่น คนหนึ่งมีตำแหน่งเคยครองอยู่สงขลา ก็ให้ไปทำงานอยู่ที่หนองบัวลำภู เป็นต้น ถ้าใครไม่จ่ายเงินก็ต้องย้าย ใครจ่ายก็อยู่ที่เดิม ซึ่งตนก็ได้แต่รับฟัง แต่ไม่ได้ไปยุ่งอะไร เพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับตรงนั้นแล้ว เคยพูดกับระดับผู้บริหารระดับสูงเหมือนกัน ว่ามีเรื่องแบบนี้ เด็กๆ เดือดร้อน เขาก็รับปากว่าจะไปดูให้ ซึ่งตนไม่รู้ว่าเขาได้แก้ปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะเหตุแบบนี้ สมัยตนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่เคยเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ มาก่อน อยากจะบอกเจ้าหน้าที่และข้าราชการภายในกรมอย่างไรบ้าง นายดำรงค์ กล่าวว่า หากเกิดเหตุแบบนี้ ต้องมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมรับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ซึ่งการโยกย้ายในระบบราชการเวลานี้มี 4 ประเภทด้วยกันคือ ย้ายเพื่อทำงาน ย้ายเพื่อทำเงิน ย้ายเพราะโดนลงโทษ และสุดท้ายย้ายเพราะผู้มีอำนาจสั่งการมา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอธิบดีแต่ละคนว่าจะจัดการอย่างไร

“ขอให้กำลังใจข้าราชการทุกคนที่ตั้งใจทำงาน และตั้งมั่นอยู่ในความถูกต้อง เรื่องที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะเสียขวัญ แต่ถ้าเรานำเรื่องแบบนี้มาจัดการให้ทุกอย่างเข้าที่ในระบบที่ถูกที่ควร และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก ผมเชื่อว่า ที่ผ่านมา มีคนผิดหวังมากกว่าคนสมหวัง คือ ไม่ยอมจ่าย ไม่มีจะจ่าย มากกว่าคนที่ยอม ซึ่งหลังจากนี้ หากระบบถูกจัดการ ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน แข่งขันก็แข่งกันอย่างยุติธรรม” นายดำรงค์ กล่าว