เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 ธ.ค. ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนายนาเคศ สิงห์ (H.E.Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย ที่เข้าเยี่ยมคารวะ เพื่อแนะนำตัวเนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ได้หารือร่วมกันผลักดันเสริมสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นขึ้น พัฒนาสู่ระดับการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ โดยประเทศอินเดียเป็นคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งในปี 2565 ไทยได้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปยังประเทศอินเดียเพิ่มมากขึ้น โดยได้เชิญชวนสร้างเสริมความร่วมมือทางการค้า โดยเฉพาะด้านสินค้าปาล์มน้ำมันระหว่างกัน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยไปสู่ระดับโลก

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ขยายความร่วมมือทางเทคโนโลยีในการผลิตผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันกับนานาประเทศต่อไปในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ประเทศไทยมีกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบประมาณ 3 ล้านตัน เหลือจากการบริโภคภายในประเทศ 1 ล้านตัน ปีที่ผ่านมา อินเดียเป็นคู่ค้าน้ำมันปาล์มที่สำคัญที่สุดของไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค. 2565 อินเดียซื้อน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์จากไทยคิดเป็นมูลค่า 33,200 ล้านบาท จากมูลค่าส่งออกสินค้าน้ำมันปาล์มทั้งสิ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85 ทั้งนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และช่วยให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มดีขึ้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายอินเดีย แสดงความยินดีกับความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แนบแน่น พร้อมส่งเสริมการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยว การลงทุนของนักลงทุนอินเดียในประเทศไทย การขยายความร่วมมือทางการค้าซึ่งมีศักยภาพและกำลังซื้อขนาดใหญ่ รวมทั้ง ความร่วมมือด้านความมั่นคง อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม รวมทั้ง การจัดตั้งสถาบันทางวิทยาการคอมพิวเตอร์

ด้าน พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ กล่าวว่า ประเทศอินเดียบริโภคน้ำมันพืชปีละ 22 ล้านตัน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันพืชจากทั่วโลก 14 ล้านตัน รวมถึง การเริ่มนำเข้าจากประเทศไทยมากขึ้นในปี 2565 ความร่วมมือทางการกับอินเดียในการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากไทยมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ส่งผู้แทนไปประสานความร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิตน้ำมันพืชแห่งอินเดีย (The Indian Vegetable Oil Producers’ Association, IVPA) เพิ่มยอดการซื้อน้ำมันปาล์มจากประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในฤดูกาล high season ช่วงเดือนมี.ค.2566 เป็นต้นไป

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปยังประเทศอินเดียในปีนี้ เป็นการระบายสต๊อกส่วนเกินที่เหลือจากการใช้ภายในประเทศ ทำให้ราคาผลปาล์มทะลายในขณะนี้ ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับราคาสูงกว่าต้นทุน และเกณฑ์ประกันรายได้ โดยในช่วงปี 2563-2565 รัฐบาลไม่ได้จ่ายเงินประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร ตามโครงการประกันรายได้ของรัฐบาล เป็นการประหยัดงบประมาณได้กว่า 2.6 หมื่นล้านบาท.