เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า สถานการณ์ภาพรวมในระดับโลกผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเชื้อเดลตา (Delta) แต่ข้อสังเกตคืออัตราการเสียชีวิตค่อนข้างเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แตกต่างจากอดีตที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็ว อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเร็ว ทั้งนี้รายละเอียดแต่ละประเทศในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาติดเชื้อ 650,065 ราย สหรัฐอเมริกา ติดเชื้อมากที่สุด 132,453 ราย เสียชีวิต 1,022 ราย จะเห็นว่าฉีดวัคซีนแล้วแต่ก็ติดเชื้อจำนวนมากอยู่ ส่วน อินเดีย บราซิล รัสเซีย ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร มีการติดเชื้อรายใหม่เกิน 20,000 รายต่อวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง ข้อดีคือจะเห็นว่าจำนวนผู้เสียชีวิตไม่ได้มากนัก เช่น ที่อังกฤษมีอัตราการฉีดวัคซีน 70% แล้ว มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 114 ราย ส่วนประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ 20,571 ราย เสียชีวิต 261 ราย เป็นการรวบรวมตัวเลขผู้เสียชีวิตตกค้างอยู่มารวมด้วย
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในประเทศไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ประมาณ 20,000 รายต่อวัน มีแนวโน้มว่าจะไม่พุ่งทะยานต่อ ทั้งนี้การติดเชื้อทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดมาก่อน ตอนนี้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 8 พันกว่าราย วันนี้ 8,540 ราย หรือประมาณ 42% จังหวัดอื่นๆ อยู่ที่ 58% แนวโน้มคงที่มาหลายวันแล้วเช่นเดียวกัน อย่างกรุงเทพมหานคร ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ 4,342 ราย สมุทรปราการ 1,584 ราย สมุทรสาคร 1,449 ราย ขณะที่ชลบุรีแม้ตัวเลข 1,235 ราย แต่ตัวเลขน้อยลง ที่เหลือเป็นจังหวัดผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ถึง 1 พันราย อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือภาคใต้มีติดเชื้อรายใหม่ 927 ราย นอกจากนี้ ยังมีการติดเชื้อในเรือนจำ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมได้ดีในการติดเชื้อแต่ไม่ได้แพร่ระบาดออกมานอกเรือนจำ 235 ราย เสียชีวิต 1 ราย วันนี้กรุงเทพฯ และปริมณฑล รายงานเสียชีวิต 141 ราย
สำหรับ ข้อมูลการเฝ้าระวังจากผลการตรวจด้วย antigen Test kit (ATK) ในกรุงเทพฯ การตรวจพบเชื้อแนวโน้มที่ดีสถานการณ์ โดยรวมสถานการณ์ตามกลุ่มเขตต่างๆ เปอร์เซ็นต์ที่สูงสุดยังน้อยกว่า 20% และดูจากค่าเฉลี่ยของเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 5% มีแนวโน้มที่ลดลงเมื่อเทียบกับหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ข้อมูลการเสียชีวิต 261 ราย ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิต 261 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง โดยสัญชาติไทย 250 ราย เมียนมา 6 ราย กัมพูชา 2 ราย ลาว จีน และเบลเยียม อย่างละ 1 ราย โดย 2 ใน 3 เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปีแต่มีโรคเรื้อรัง รวม 2 กลุ่มประมาณ 87% นอกนั้นไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง แต่มีหญิงตั้งครรภ์ 1 ราย และมีผู้ช่วยเหลือผู้ป่วย 1 ราย ซึ่งไม่มีประวัติฉีดวัคซีน ส่วนปัจจัยเสี่ยงโรคประจำตัว มีโรคอ้วน โรคไต และมีผู้ป่วยติดเตียง นอกจากนี้ ยังพบปัจจัยเสี่ยงจากแหล่งโรคทำให้ติดเชื้อ โดยติดจากพื้นที่ระบาดมากที่สุด 235 ราย ติดจากคนรู้จัก เพื่อนบ้าน 97 ราย ติดเชื้อจากครอบครัว 24 ราย ที่เหลืออาศัยในพื้นที่เสี่ยง 114 ราย โดยจำนวนผู้เสียชีวิต 261 ราย พบว่าเดิม กทม.มาก แต่ขณะนี้เหลือครึ่งหนึ่ง โดย กทม. 88 ราย พื้นที่รอบๆ กทม.ปริมณฑล 53 ราย ที่เหลือพบในจังหวัดชายแดนใต้ 24 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33 ราย ที่เหลือภาคเหนือและภาคกลาง
นพ.โสภณ กล่าวต่ออีกว่า กรณีผลการศึกษาผลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนที่มีการรายงานโดยกรมควบคุมโรค เป็นกรณีซิโนแวค 2 เข็ม ประเมินทุกเดือน พ.ค., มิ.ย. และ ก.ค. ส่วนข้อมูล ส.ค. อยู่ระหว่างรวบรวม ซึ่ง 3-4 เดือนที่ผ่านมาพบว่า วัคซีนซิโนแวคป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 72% โดยเฉลี่ย ซึ่งภาพรวมคนได้วัคซีนยังได้ประโยชน์สูงอยู่
ส่วนการศึกษาผู้ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา 1 เข็ม ข้อมูลในต่างประเทศป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ประมาณ 70-80% ส่วนข้อมูลไทย จากการศึกษากลุ่มที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค.2564 หากดูจากผลลัพธ์การป่วยหนักและเสียชีวิต เปอร์เซ็นต์ยังพบค่อนข้างสูง อย่าง พ.ค. พบ 84% ส่วน มิ.ย. 93% และ ก.ค. ป้องกันได้ 85% สรุปคือตั้งแต่ 80-90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การฉีดแอสตราฯ ยังได้ประโยชน์สูงอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องฉีด 2 เข็ม ซึ่งขณะนี้จะเป็นช่วงของประชาชนที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มสอง
นอกจากนี้ ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศิริราชพยาบาล ในเรื่องการศึกษาระดับภูมิคุ้มกันการฉีดวัคซีนที่มีต่อสายพันธุ์เดลตา โดยในส่วนการฉีดวัคซีนซิโนแวคกับแอสตราเซเนกา สร้างภูมิคุ้มกันได้สูง ซึ่งในบรรดาสองเข็มด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ซิโนแวคกับซิโนแวค แอสตราฯ กับแอสตราฯ หรือซิโนแวคกับแอสตราฯ ก็ล้วนสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูงอยู่ และเมื่อดูข้อมูลประสิทธิผลการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต จะเห็นว่าคนที่ป่วยหนักและเสียชีวิตที่ได้วัคซีนครบสองเข็มมี 26 ราย เมื่อคิดอัตราการเสียชีวิตต่อคนฉีดวัคซีน 100 คน อยู่ที่ 4.4 ต่อล้านคน ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับคนไม่ได้ฉีดวัคซีนและเสียชีวิต ซึ่งเป็นกลุ่มส่วนใหญ่ขณะนี้ โดยกลุ่มไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบ หรือยังฉีดไม่ถึง 14 วัน ซึ่งภูมิคุ้มกันยังไม่ขึ้น จะมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 140 ต่อล้านคน ต่างกันประมาณ 30 เท่า
“จึงอยากชวนทุกคนในกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังให้รีบฉีดวัคซีนโดยเร็ว ไม่ว่าสูตรใดก็ตาม แต่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดสูตรซิโนแวค ตามด้วยแอสตราฯ ห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นได้เร็วและสูง” นพ.โสภณ กล่าว