เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ในวาระ 2 และ 3 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท เป็นวันที่สี่ โดยการพิจารณาในมาตรา 27 งบประมาณส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี วงเงิน 37,303,062,700 บาท โดย ส.ส.ในส่วนของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ต่างอภิปรายโจมตีปรับลดงบประมาณในส่วนของสำนักงานตำรวจแหงชาติ โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธช่วงนี้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ.งบประมาณฯ อภิปรายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ของบมา 32,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดเรื่องแปลกใจตั้งแต่ในห้องอนุ กมธ.งบประมาณในวันที่กรมทางหลวงมาชี้แจง ปรากฏว่ามีผู้บัญชาการตำรวจทางหลวงมาด้วย และในวันที่กรมท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามาชี้แจงก็มีผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเข้ามาชี้แจงด้วย ตนจึงดูรายงานว่าผิดหน่วยงานหรือไม่ เพราะหน่วยงานที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ น่าจะอยู่ในมาตรานี้ แต่ก็มาถึงบางอ้อว่าตำรวจทางหลวงขอใช้งบประมาณร่วมกับกรมทางหลวงซื้อรถยนต์ตำรวจทางหลวง เช่นเดียวกับตำรวจท่องเที่ยวที่ขอใช้งบร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ในเรื่องการปรับปรุงรักษารถยนต์ของตำรวจ ตนจึงขอสงวนความเห็นและแปรญัตติตัดงบไป 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะหลายหน่วยงานไม่ได้ของบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรงเท่านั้น เหมือนผิดฝาผิดตัว และเป็นเรื่องที่แปลก ปีหน้าขอให้ตั้งงบมาที่มาตรา 27 นี้ ส่วนหน่วยงาน ป.ป.ท. และ ปปง.ที่เป้นหน่วยงานจับทุจริตได้งบไปน้อยมาก ขณะที่สำนักงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาได้งบไปแล้วขอให้ช่วยทำให้วัดมีความจรรโลงให้พี่น้องคนไทยด้วย

ด้านนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอปรับลดงบในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะในโครงการจัดซื้ออาวุธสงครามที่มี 3 โครงการ ได้แก่ ปืนเล็กสั้น ปืนเล็กยาว และปืนกลมือ รวม 7,000 กระบอก เพราะฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น และการลงนามเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งหลายประเทศ ทั้งนี้สหรัฐศึกษาผลกระทบการสะสมอาวุธสงครามว่าไม่ได้ช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรม และยังพบมีแนวโน้มมีการใช้ความรุนแรงและอาวุธสงครามกับประชาชน ส่วนประเทศไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตำรวจซื้ออาวุธสงคราม 80,303 กระบอก สะสมอาวุธสงครามมากว่าสหรัฐ 5 เท่า และซื้ออาวุธมากกว่า 25 เท่า ปัญหาคือปี 53-56 ซื้ออาวุธสงครามให้ตำรวจ 100 กว่ากระบอก แต่รัฐบาลนี้ซื้อมากกว่า 132 เท่าราวกับจะตั้งกองทัพ ในชั้นอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ตนพยายามปรับลด และให้ความเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าเวลาที่ตั้งงบประมาณที่ไม่ได้ใช้เวลาผลิตนานๆ ควรซื้อปีเดียวให้เสร็จ ปรากฏว่าวันนี้มีการลงนามแล้ว จึงต้องตั้งคำถามว่าเพราะถูกตรวจสอบหรืออย่างไรถึงรีบลงนามเหมือนกลัวไม่ได้งบประมาณ การปล่อยให้ตำรวจครอบครองอาวุธสงครามนั้นมีแนวโน้มที่ใช้กับประชาชน ซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้ตำรวจไทยไม่ควรหันปืนยิงเข้าใส่ประชาชน และงบไม่ควรผ่านสภาฯไปในวันนี้ วันใดที่ปืนกระบอกใครกระบอกหนึ่งในนี้หันเข้าหาประชาชน เลือดจะอยู่ในมือสมาชิกสภาฯ ทุกคนที่เห็นชอบให้งบฯ นี้ผ่านไป

นอกจากนี้นายพิจารณ์ ได้ลุกขึ้นหารือนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมว่า การใช้สื่อภาพต่างๆ ระหว่างการประชุมเป็นอำนาจประธานที่วินิจฉัยว่าภาพใดประกอบการอภิปรายได้ แต่อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยชี้แจงสมาชิกก่อนอภิปรายว่าภาพใดไม่ได้รับการอนุญาต เพื่อให้การอภิปรายราบรื่นไม่ติดขัด และตลอด 2-3 วัน ที่ผ่านมาภาพที่พรรคก้าวไกลจะใช้ประกอบการอภิปรายมีปัญหาจริงๆ โดยส่วนตัวรูปภาพที่มีรูป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ถูกเจ้าหน้าที่เบลอภาพ ในขณะนี้พรรคการเมืองอื่นใช้ภาพ พล.อ.ประวิตร ไม่ถูกเบลอ และภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน และภาพรีสอร์ทศูนย์ฝึกอบรมที่เป็นภาพสีบางภาพถูกปรับเป็นขาวดำ ซึ่งเกรงว่าจะทำให้กระทบกระเทือนภาพลักษณ์ของประธาน ขอให้กำชับการทำงานตรงนี้ เพราะอดคิดไม่ได้ว่าพรรคก้าวไกลถูกเลือกปฏิบัติหรือไม่

ด้านนายชวน ชี้แจงว่า ยันยันว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติ แต่เรามีหน้าที่ตรวจสอบ การตรวจสอบภาพตนไม่ได้เป็นผู้พิจารณา แต่รองประธานฯ จะเป็นผู้ดูแลอนุมัติ ตนให้ความเคารพเพื่อนร่วมงาน และอะไรที่เกี่ยวกับสถาบันจะระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อความหรือเอกสารใดที่มีเจตนาอะไรก็ตามมีเจ้าหน้าที่ดูแลและไม่เลือกปฏิบัติ ความเหมาะสมเราเคารพผู้ใช้สิทธิ แต่ต้องอธิบายว่ามาอย่างไร และจะเป็นประโยชน์ต่อคนภายนอกอย่างไร

จากนั้นนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นหารือเพิ่มเติมว่า ประธานบอกว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติ แต่จากที่นายพิจารณ์พูดนั้นก็มองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรูปของ พล.อ.ประวิตร เจ้าหน้าที่ควรมีการชี้แจงเป็นเอกสารที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากอะไร และใครเป็นคนตัดสินใจ

ทำให้นายชวน กล่าวยืนยันว่า ตนยังไม่เห็นภาพ และจะดูให้ ทั้งนี้ไม่เหตุผลออะไรจะเลือกปฏิบัติ ดีที่สุดคือการตรงไปตรงมาและอยู่กับความเป็นจริง อภิปรายได้เมื่อเห็นว่าเหมาะสม แต่เมื่ออภิปรายไปแล้วก็ต้องเคารพอีกฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะการพิจารณารูปนั้นรองประธานฯ ไม่มีเจตนาเป็นอย่างไรอื่น เราตรงไปตรงมา

ด้านนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า มาตรา 27 ตนปรับลดไป 13 เปอร์เซ็นต์  โดยงบกรมตำรวจปรับลงน้อยมาก ขณะนี้ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสียหายไปมาก เพราะมีนัดบอร์ดแถวแยกดินแดง เรื่องการจัดการจับม็อบ ตำรวจได้รับคำตำหนิว่าลุแก่อำนาจมาก ซึ่งตนขอเตือนตำรวจชั้นผู้น้อยจะมีความผิด และชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่รอดด้วย เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 44 บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุม และมาตรา 29 วรรคสอง ทุกคนเป็นจำเลยไม่มีความผิดก่อนได้รับคำพิพากษา แต่ตำรวจเข้าไปจัดการม็อบยิ่งกว่าคดีอาชญากรรมอีก เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ยิงกันเหมือนหนังคาวบอย

จากนั้นนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 27 ได้รับงบ 37,303,062,700 บาท ซึ่งเป็นงบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 32,000 กว่าล้านบาท ถูกปรับลดไป 55 ล้าน ไม่ทราบว่าตั้งมาเผื่อต่อหรืออย่างไร  ซึ่งการออกมาชุมนุมของเยาวชนตอนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างยิ่ง เพราะใช้หน่วยควบคุมฝูงชน (คฝ.) เข้ามาควบคุมสถานการณ์และเกิดความรุนแรงขึ้น โดยทำงานเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน การออกมาเรียกร้องของเยาวชนเพื่อหาทางรอดจากวิกฤติและความล้มเหลวต่างๆ ของผู้บริหารราชการแผ่นดิน นี่คือความเจ็บปวดที่ออกมาเรียกร้องท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติโควิด หลังประกาศยุติชุมนุมความรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน และสภาฯ แห่งนี้ควรอนุมัติเงินให้เขาไปซื้อยุทโธปกรณ์มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งสถานการณ์การชุมนุมมีการพูดว่ายิงเลย ตรงนี้กระสุนไม่อั้น ตอนนี้ไม่ใช้หลักสากล แต่เป็นหลักสาแก่ใจมากกว่า แต่ปีนี้ คฝ.ขอกระมิดกระเมี้ยนมาแค่ 3 ล้านซื้อแผงเหล็ก แต่ปีที่แล้วขอ 883 ล้านบาท ไปซื้ออาวุธมาใช้กับประชาชน ถ้าเป็นตนไม่อนุมัติให้แม้แต่บาทเดียว.