กลายเป็น “สมรภูมิรบรายวัน” ก็ว่าได้สำหรับบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีการเปิดฉากปะทะเดือดระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนและกลุ่มผู้ชุมนุมสายฮาร์ดคอร์ ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง พลุไฟ ตอบโต้กันนัวเนีย เล่นเอาชาวแฟลตดินแดงพากันอกสั่นขวัญผวา ต้องเตรียมรับผลพวงการปะทะจนเรียกได้ว่าเขย่าขวัญกันทุกค่ำคืน

สาเหตุหลักมาจากการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองกดดันรัฐบาล แต่หลังๆ กลายเป็นว่าเรียกชุมนุมแล้วเกิดอาการ “คุมไม่อยู่” แม้หลายครั้งแกนนำมีการประกาศยุติชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมสายฮาร์ดคอร์บางกลุ่ม กลับเล่นนอกแผน จนเลยเถิดบานปลายกลายเป็นการปะทะดุเดือด แม้แกนนำจัดการชุมนุมที่คร่ำหวอดอย่าง “เต้น”ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ผันตัวมาเป็น “กุนซือคาร์ม็อบ” ด้วยการจัดกิจกรรม “คาร์ปาร์ค” ล่าสุด ก็ยังคุมผู้ชุมนุมไม่อยู่ จบลงด้วยเหตุการปะทะดุเดือดที่ดินแดง เพราะงานนี้ไม่มีใครฟังใคร ต่างคนต่างก็รู้เบื้องหลังกันและกันดี

จนกลายเป็นปัญหาการใช้ความรุนแรงที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ล่าสุดมีผู้ชุมนุมซึ่งเป็นเยาวชน ถูกยิงด้วย “กระสุนจริง” อาการสาหัส ขณะที่ “ไฮโซลูกนัท” ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย แกนนำกลุ่มสลิ่มกลับใจขับไล่ประยุทธ์ ได้รับบาดเจ็บจนมีข่าวลือหนาหูว่าอาจถึงขั้นตาบอด และยังไม่นับรวมกับหลายๆ เหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ต่างตอกย้ำถึงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นจนน่ากังวล! นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนถึงความเห็นที่แตกแยกแตกต่างทางความคิดของคนในสังคมอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ออกมาส่งสัญญาณชัด ยืนยันว่ายังคงอยู่แก้ปัญหาโควิดต่อไป และพร้อมกับปรับมาตรการต่างๆ เพื่อหาทุกหนทางในการช่วยเหลือและแก้สถานการณ์ให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ พร้อมกันนั้นยังบอกว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ หลังเริ่มมาตรการล็อกดาวน์ แม้ว่าจะมียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอยู่มากกว่า 20,000 คน แต่เริ่มจะเห็นสัญญาณของการชะลอตัว และมีสัญญาณของผู้ป่วยที่หายดีมากกว่าผู้ติดเชื้อรายวัน ซึ่งก็เป็นการปลุกขวัญเติมกำลังใจให้ตัวเองในการสู้ศึกโควิดของรัฐบาล

งานนี้ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นไปอย่างหนักหน่วง มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในหลัก 20,000 คนติดต่อกันหลายสัปดาห์ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มขยับขึ้นหลัก 300 คน ซ้ำร้ายยังเกิด “ดราม่าวัคซีนไฟเซอร์” ทั้งการจัดสรรที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของบุคลากรด่านหน้า ตลิดจนการสวมสิทธิ์บุคลกรด่านหน้าเพื่อฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จน “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ออกมาปล่อยหมัดฮุกใส่รัฐบาลอีกรอบว่า “วัคซีนไฟเซอร์ทั่วโลกมีไว้ฉีด แต่ในประเทศไทย น่าจะเป็นที่เดียวในโลก ที่มีไว้อม แทนที่จะเอาไปให้ด่านหน้าใช้ ก็เอามาอมกัน”

ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ “โทนี่ วู้ดซัม” พูดได้ตรงใจคนไทยที่ต้องการเห็นบุคลากรด่านหน้าทุกคนได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพราะสิ่งสำคัญที่จะประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านวิกฤติไปได้คือการมีด่านหน้าที่เข้มแข็ง แต่หากปล่อยให้ด่านหน้าพังสถานการณ์อาจจะเลวร้ายมากกว่าที่เป็นอยู่เท่าทวีคูณ!

แน่นอนว่าสถานการณ์โควิด สถานการณ์การชุมนุม การปะทะกันด้วยความรุนแรง จะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกระยะยาว ถ้า “บิ๊กตู่” ยังไม่ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

ทางเลือกแรก คือการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น และเปิดทางให้คนอื่นเข้ามานำพาประเทศออกจากวิกฤติในครั้งนี้

ทางเลือกที่สอง คือการทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปริมาณที่เพียงพอสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด เข้ามาฉีดให้กับประชาชนเร็วที่สุด และต้องเป็นการฉีดวัคซีนที่เป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่มี VVIP แทรกคิวล้วงวัคซีนจากบุคลากรด่านหน้า และประชาชน พร้อมทั้งแจกแจงแผนการจัดหาวัคซีน แผนการกระจายวัคซีน ให้ประชาชนรับรู้อย่างเปิดเผยและชัดเจน

ซึ่งทางเลือกนี้ก็ยังต้องมาวัคแรงศรัทธากันอีกรอบว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับคืนมาได้มากน้อยแค่ไหน เพราะในขณะนี้แรงศรัทธาของรัฐบาลหายไปพร้อมกับวิกฤติโควิด-19 ความเชื่อถือ-เชื่อมั่นต่อตัวผู้นำประเทศแทบจะไม่เหลือแล้ว ถึงขั้นสัปเหร่อขอไปเป็นนายกฯแทน! หากยังปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะกลายเป็นจุดดับของประเทศไทย จุดดับของตัวผู้นำประเทศในที่สุด

ขณะที่ “เกมการเมืองในสภา” ดูจากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 แม้จะดูจืดชืด เพราะต้องแข่งกับช่วงเวลาที่จำกัด แต่ก็พอจะจับประเด็นได้ว่าโครงสร้างงบประมาณ ยังไม่ตอบสนองวิกฤติโควิด-19 และที่น่ากังวลคือการจัดงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังจะเผชิญในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากปัจจุบันการจัดเก็บรายได้ของประเทศลดลงจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้จะต้องมีการกู้เงินแบบเต็มเพดานทุกปี เพื่อให้เพียงพอกับรายจ่ายและเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และเมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจเข้ามาซ้ำเติม อาจจะทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลงไปอีกในปี 2566-67 อาจทำให้เราต้องกู้เงินเกินเพดาน

สำทับด้วยการที่ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาแนะให้รัฐบาลกู้เพิ่มอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท เพื่อพยุงรายได้ภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 อย่างหนัก กว่า 2.6 ล้านล้านบาท  จึงต้องใช้เงินกู้มาเติมความเสียหายดังกล่าว เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลังเพื่อช่วยให้รายได้และฐานะการเงินของประชาชนและธุรกิจเอสเอ็มอีกลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุด โดยผลจากการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทจะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกลายเป็น 70% ของจีดีพีในปี 2567

เห็นแบบนี้แล้ว…ก็เรียกได้ว่าทำเอาคนไทยถึงกับต้องนั่งกุมขมับ ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร กับสภาพสะบักสะบอมของประเทศในทุกๆ ด้าน ภายใต้ “ผู้นำคนปัจจุบัน”

ยังไม่รวมกับ “วิกฤติศรัทธา” ที่จะถูกกระชากลงไปอีกจากศึกซักฟอก ที่กำลังจะเปิดสังเวียนในเร็วๆนี้ โดยมีการ “ล็อกเป้า” “บิ๊กตู่”พ่วงด้วย 5 รัฐมนตรี คือ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม, เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์, สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยเป้าหลักๆอยู่ที่ “บิ๊กตู่” จากความล้มเหลวในการรับมือโควิด-19 และความผิดในการบริหารจัดการวัคซีน ด้วยข้อกล่าวหามีพฤติการณ์ ค้าความตาย, ฉ้อฉลปิดบังอำพรางจัดหาวัคซีนไม่โปร่งใส, กอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาประชาชน, เป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจและไร้ความสามารถเป็นผู้นำประเทศ พร้อมด้วย “เสี่ยหนู” ด้วยข้อกล่าวหาทำระบบสาธารณสุขล้มเหลว, ปล่อยให้คนไทยต้องตายกลางถนน

โดยศึกซักฟอกที่จะเกิดช่วงปลายเดือนนี้ ก็ต้องลุ้นดูว่าความเหนียวแน่นในพรรคร่วมรัฐบาลจะกอดคอร่วมหัวจนท้ายกันได้ถึงไหน คงต้องจับตาดูเสียงโหวตในสภาว่างานนี้ “แม่ทัพคนใหม่” ของพรรคพลังประชารัฐ อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะโชว์ฝีไม้ลายมือสร้างความสัมพันธ์พรรคร่วมได้แน่นแฟ้นแค่ไหน

แต่จุดแตกหักขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล คงต้องฝากพรรคร่วมรัฐบาลไปคิดว่าหากยังเกาะเรือเหล็กแล้วพากันล่มไปทั้งประเทศ กับการโดดออกมาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ หาผู้นำที่จะตอบโจทย์กับการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศได้ อย่างที่ “บิ๊กตู่” ทำไม่ได้

สุดท้าย…หากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงอาจจกลายเป็นการซ้ำเติมวิกฤติ เพราะจะต้องเกิดสงครามการเมืองในสภา ถึงตอนนั้นก็จะเป็นการสุมไฟร้อนให้กับประเทศยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้กลายเป็นการเพิ่มวิกฤติให้กับประเทศ และประชาชนไปมากกว่าที่เป็นอยู่.