เมื่อวันที่ 18 ม.ค. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้าแต่ไม่เสียค่าปรับ ว่าแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ควรแล้วเสร็จในประมาณ ปี 63 แต่การก่อสร้างเกิดการล่าช้า บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้ให้เหตุผลต่างๆ มากมาย อาทิ การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งทางสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ปรับลดค่าปรับการก่อสร้างเหลือเพียงร้อยละ 0 ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีค่าปรับ

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทเอกชนชื่อดังให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ งานสาธารณูปโภค งานสาธารณูปการ งานระบบประกอบอาคารและภายนอกอาคาร งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอุปกรณ์ครุภัณฑ์ ในพื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ตามสัญญาเลขที่ 116/2556 ลงวันที่ 30 เม.ย.56 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มูลค่างานตามสัญญา จำนวน 12,280 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญาและที่ขยายระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.56 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.63 รวมทั้งสิ้น 2,764 วัน

เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.63 ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งตามสัญญาจ้างก่อสร้างฯ “ข้อ 20 ค่าปรับและค่าเสียหาย” กำหนดให้ ผู้รับจ้างจะต้องชำระค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10 (ศูนย์จุดหนึ่งศูนย์) ของราคางานจ้างก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญา หรือวันละ 12.28 ล้านบาท และต้องชำระค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ควบคุมงานและที่ปรึกษาบริหารโครงการ วันละ 332,140 บาท รวมแล้วประมาณวันละ 12.61 ล้านบาทเศษ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 ผู้รับจ้างทำงานไม่เสร็จก่อสร้างล่าช้า ซึ่งการทำสัญญาและหลักประกันนั้น ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ใน มาตรา 97 สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้วจะแก้ไขไม่ได้ และกรณีนี้ไม่น่าจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 97 กับ มาตรา 102 การงดหรือลดเบี้ยปรับผู้มีอำนาจพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณีที่กฎหมายกำหนด

ปรากฏว่า เมื่อเมื่อวันที่ 1 ก.ค.65 ผู้รับจ้างได้มีหนังสือแจ้งขอส่งมอบงานทั้งโครงการตามสัญญางวดสุดท้าย แต่ผู้ควบคุมงาน ที่ปรึกษาบริหารโครงการ และคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจงานแล้วพบว่ายังมีงานก่อสร้างที่ผู้รับจ้างต้องดำเนินการแก้ไขเนื่องจากไม่ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา จึงไม่รับมอบงานและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรผู้ว่าจ้างได้มีคำสั่งให้ผู้รับจ้างดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างผู้รับจ้างดำเนินการงานก่อสร้างตามรูปแบบและรายการให้แล้วเสร็จทั้งหมด รวมทั้งแก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่อง (Defects) ซึ่งงานตามสัญญายังไม่แล้วเสร็จ ถึงปัจจุบัน (18 ม.ค.66) ยังส่งมอบงานไม่ได้ มีความล่าช้าเป็นเวลาประมาณ 778 วัน หรือมากกว่า 2 ปี บริษัทผู้รับจ้างต้องถูกปรับรวมเป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านบาท คือประมาณมากกว่า 9.8 พันล้านบาท
.
ข้ออ้างบริษัทผู้รับจ้างสร้างสภารัฐสภาที่ไม่จ่ายค่าปรับ คือได้มีหนังสือขอรับสิทธิตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 693 ลงวันที่ 6 ส.ค.64 และที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 654 ลงวันที่ 21 มิ.ย.65 และ ที่ กค (กวจ) 044.2/ว 1459 ลงวันที่ 24 พ.ย.65 ตามลำดับ ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ส.ค.64 ให้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

โดยมีแนวทางให้กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) อนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 162 กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ โดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นดีเห็นงามไปด้วยนั้น และได้ดำเนินการแก้ไขสัญญาจ้างที่ได้ลงนามเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากเดิมสัญญามีการกำหนดค่าปรับตามสัญญาค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10 นั้นได้แก้ไขเป็นสัญญาไม่มีค่าปรับเลย โดยใช้ถ้อยคำว่า “กำหนดค่าปรับเป็นร้อยละ 0”(ศูนย์บาท)

ตนไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่แก้ไขเป็น สัญญา “กำหนดค่าปรับเป็นร้อยละ 0” ไม่น่าจะถูกต้องเนื่องจากความในข้อ 162 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ เป็นบทบัญญัติที่อยู่ในหมวด “การทำสัญญาและหลักประกัน” กล่าวคือ เป็นข้อกำหนดในขั้นตอนการทำสัญญาที่หน่วยงานของรัฐจะต้องกำหนดค่าปรับอันถือเป็นหลักประกันไว้ในสัญญาตามอัตราที่ระเบียบกำหนด ไม่ใช่ในขั้นตอนการ “แก้ไขสัญญา” ส่วนการแก้ไขสัญญา เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 97 ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับศักดิ์พระราชบัญญัติ และเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐในการยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ เท่านั้น (พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างฯ มาตรา 29 (4) )

ดังนั้น คณะกรรมการวินิจฉัยฯ จึงไม่อาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ที่ให้อำนาจแก่ตนเองได้ การที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปแก้ไขสัญญาฯ จึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนดและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 97 และมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

“เรื่องตลกร้ายเกิดขึ้น บริษัทผู้รับจ้าง ได้ยื่นฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อศาลปกครองกลาง กรณีส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างล่าช้าและการขนย้ายดินในระยะต้นๆของการก่อสร้างในคดีหมายเลขดำที่ 961/2563 เมื่อวันที่ 17 เม.ย.63 เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 1,596,592,305.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีเสร็จสิ้นปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง แต่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรช่างใจดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างด้วยการงด หรือยกเว้นค่าปรับให้ ถึงปัจจุบันมากกว่า 9.8 พันล้านบาท กลายเป็นว่า รัฐเสียสิทธิในการเรียกเงินค่าปรับส่งมอบงานล่าช้า ถือว่าเป็นเงินภาษีของประชาชน เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติแล้วหรือ มิหนำซ้ำรัฐสภายังถูกบริษัทผู้รับจ้าง เรียกร้องค่าเสียหายอีกมากกว่า 1.5 พันล้านบาท ถ้าแพ้คดีต้องหนีไม่พ้นเอาเงินภาษีของประชาชนจ่ายให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างสร้างรัฐสภาทำไมประชนคนไทยจึงช่างโชคร้ายเหลือเกิน ทั้งที่ บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้า มีผลกระทบให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยตรงเกือบหมื่นล้านบาท การไม่ปกป้องสิทธิประโยชน์ของรัฐดังกล่าวเกรงว่าจะเกิดการประวัติศาสตร์ซ้ำรอยค่าโง่ ที่รัฐต้องสูญเสียประโยชน์อีกครั้ง” พ.ต.อ.ทวี ระบุ.
.