เมื่อวันที่ 31 ม.ค. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เป็นตัวแทนพรรคสวมเสื้อสำนักงานปราบโกง (สปก.) ให้น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีต ส.ส.กทม พรรคเพื่อไทย (พท.)​ อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เป็นสมาชิกพรรค ทสท.

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวแสดงความยินดีที่ทุกคนช่วยกันตั้งศูนย์ปราบคอรัปชั่น Corruption Eradication Commission หรือ CEO แห่งนี้จนสำเร็จ พร้อมชี้ให้เห็นว่าการคอร์รัปชั่นของประเทศ เริ่มจากประชาธิปไตยที่ถูกคลุมด้วยเสื้อเผด็จการ ซึ่งพรรค ทสท. จึงสร้างรัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้ ศูนย์ปราบโกงฯ เปิดมาในเวลาที่เหมาะสม เพราะทุกวันนี้ข่าวเกี่ยวกับการโกง การคอร์รัปชั่น ปรากฏให้เห็นทุกวัน ทั้งทุนจีนสีเทา การรีดไถนักท่องเที่ยว หรือการทุจริตของข้าราชการและนักการเมือง

“ไทยสร้างไทย ขอประกาศสงครามกับการคอร์รัปชั่น เราจะลากคนโกงตัวใหญ่มารับโทษ มาขึ้นศาลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และค่าก๊าซที่พี่น้องถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมถึงจะตรวจจับการทุจริตในกองทัพโดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ สอดคล้องกับสิ่งที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติให้คะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index : CPI) ประเทศไทยเพียง 33 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ทำให้ไทยได้อันดับที่ 110 จาก 180 ประเทศ และเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่เราไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อน” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่าประเทศไทยสามารถปราบโกงได้ โดยเริ่มต้นด้วยการมีผู้นำที่มีความตั้งใจจริง (Political Will) ที่จะมาปราบคอร์รัปชั่น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ประเทศไทยจะได้นายกฯได้ผู้นำที่มีความตั้งใจจริงที่จะปราบคอร์รัปชั่น พวกเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าถ้านำเอายุทธศาสต์ปราบโกงของไทยสร้างไทยไปใช้ และมีการเปลี่ยนกรอบความคิดให้เน้นที่การปราบคอร์รัปชั่นมาก่อนสิ่งอื่นใด ประเทศของเราจะสามารถหลุดพ้นคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึก เป็นประเทศที่โปร่งใสไร้คอร์รัปชั่นได้อย่างแน่นอน

การที่ น.อ.อนุดิษฐ์ เข้ามาร่วมงานกับพรรค ถือเป็นบุคคลที่ทำงานเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นมาโดยตลอด ซึ่งตรงกับหนึ่งในนโยบายของพรรค ที่ต้องการแก้ปัญหาการทุจริตทุกรูปแบบ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน จึงมั่นใจว่าจะสามารถปักธงในพื้นที่สายไหมได้ โดยพรรค ทสท. มีบุคคลที่ทำงานอาสารับใช้ประชาชนในพื้นที่สายไหมมานานหลาย 10 ปี ทั้ง นายสมชาย เวสารัชตระกูล และ น.อ.อนุดิษฐ์ จึงมั่นใจในพื้นที่นี้

ทางด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวขอบคุณ คุณหญิงสุดารัตน์ ที่ได้มอบโอกาสดีๆ ในชีวิตมาตลอดเส้นทางการเมือง และในครั้งนี้ได้มาเป็นสมาชิกพรรค ทสท. ยังได้รับความไว้วางใจจากพรรคให้เป็น ผอ.ปราบโกง ต่อจากนี้จะเดินหน้าสานต่ออุดมการณ์ 3 เรื่อง คือ รณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ทำให้คนไทยกินดีอยู่ดีตั้งแต่เกิดจนแก่ และปราบการคอร์รัปชั่น

“ทั้งหมดคงเกิดขึ้นไม่ได้ หากผมไม่มีทีมที่ดี คนที่ใช่ พรรคที่มีอุดมการณ์และเจตจำนงเดียวกัน ผมโชคดีที่มีเพื่อนรัก มีทั้งผู้มีพระคุณทางการเมือง มีทั้งอดีตผู้แทนหลายท่านที่มีจุดยืนเดียวกันกับผม ผมยังมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่มีความรู้ความสามารถ และยังมีผู้ที่มีหัวใจรักประชาธิปไตยที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อขับเคลื่อนพรรค ทสท.อยู่ทั่วประเทศ ให้ไปสู่จุดหมายเดียวกันนั่นคือได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน มีสวัสดิการที่ดีดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนแก่ และภารกิจที่ยากที่สุดคือเป็น ผอ.ปราบโกงฯ ผมไม่ได้มาเล่นๆ”

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในฐานะ ผอ.ปราบโกงฯ ได้รวบรวมข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดประกอบด้วย 10 เรื่องมาทำต่อ ได้แก่ ค่าไฟฟ้าที่แพงและเกิดจากสัญญาที่อยุติธรรม, เรื่องทุจริตในกองทัพและการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต่างๆ จนมีคำซุบซิบว่า เรามีกองทัพมีไว้รับใช้การเมืองหรือไม่ หรือมีกองทัพไว้ผลาญเงินหรือไม่ ตัวเองจะร่วมกับผู้มีอุดมการณ์เดียวกันเป็นทหารฝ่ายประชาธิปไตย มาร่วมกันเดินหน้าทำให้กองทัพเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน เป็นกองทัพที่ใสสะอาด ปราศจากคอร์รัปชั่น เป็นกองทัพที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างแท้จริง

ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรค กล่าวว่า เคยมีหลายคนมาพูดคุยกับ คุณหญิงสุดารัตน์ สมัยที่เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค พท. ระบุว่า ที่จำเป็นต้องไปจากพรรค พท. เพราะถูกบีบนั้น ตนมองว่าหากไปเข้าร่วมกับพรรคเดิมจะโดนคดีต่างๆ แต่ถ้าไปร่วมกับอีกฝั่งจะหลุดคดี ทำให้ต้องแยกย้ายออกไป ซึ่งเราเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้โดนข้อหาที่ไม่เป็นธรรมโดนชนักปักหลัง เพราะ 8 ปี ที่ลุงเข้ามาอยู่ ฝั่งรากลึกไปยังองค์กรอิสระ สามารถสั่งการที่จะชี้เป็นชี้ตายกับใครก็ได้ หากยังเป็นแบบนี้ก็จะกลับเข้าสู่ลักษณะของวงเวียนของการทุจริต หรือบุฟเฟ่ต์คาบิเนต หาเงินมาเพื่อแจกกล้วยแล้วเอาคดีมาปักหลังเพื่อดึงมาเป็นพวกให้ตัวเองชนะ

ส่วนการจับมือทำงานการเมืองกับพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ล่ม และปรากฏว่า นายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กลับไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ระหว่างการเจรจายังมีข้อเคลือบแคลงสงสัย เรื่องการสนับสนุนเผด็จการ ยืนยันว่าพรรค ทสท. ไม่ต้องการรวมกับใคร แต่ไม่ได้ปิดกั้นถ้าใครมาร่วม ดังนั้น จุดที่จะรวมไม่ได้คือเรื่องการสนับสนุนเผด็จการ เพราะพรรค ทสท. มีจุดยืนชัดเจนว่าไม่ร่วมกับเผด็จการ และไม่เป็นบันไดต่อยอดให้เผด็จการ

“ตอนแรกเขาตกลงกันว่าออกมาแล้วเพราะมีข้อขัดแย้ง หากกลับไปก็เสียผู้เสียคนยังไงก็ไม่กลับไปแน่นอน และก็ได้กลับมาคุยกันอีกรอบ แต่ส่วนตัวยังมีข้อสงสัยเรื่องสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อีกทั้งช่วงระหว่างเจรจากันว่า จะรวมไม่รวม ก็มีภาพไปนั่งคุยกับลุงป้อมหนึ่งในแกนหลักรัฐประหาร ซึ่งการไปคุยกันแบบนี้ก็ถือว่าจบแล้ว หากเอาคราบประชาธิปไตยมาห่อหุ้ม แต่ในใจยังสนับสนุน 3 ลุง อุดมการณ์ก็ถือว่าตรงข้ามกัน หลังจากนี้พรรคก็จะเดินหน้าต่อตามอุดมการณ์ของเรา“

เมื่อถามว่า กรณีดีลล่มเป็นเพราะไม่สามารถตกลงกันเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่อาจไม่ลงตัวนั้น น.ต.ศิธา กล่าวว่า ตามกฎหมาย สามารถเสนอรายชื่อได้ 3 คน ซึ่งพรรค ทสท. ชู คุณหญิงสุดารัตน์ หัวหน้าพรรค แล้ว 1 คน ยังว่างอีก 2 ตำแหน่ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เหตุผล.