นายวิสัณห์ ศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด หรือ เจดี เซ็นทรัล เปิดเผยภายหลังจากประกาศยุติการให้บริการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม เจดี เซ็นทรัล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 66 เป็นต้นไปว่า หลังจากปิดรับออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้าในวันที่ 3 มี.ค. 66 นั้น ในส่วนของบริการหลังการขายจะให้บริการจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 66 จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนปิดดำเนินการบริษัทต่อไป โดยที่พนักงานและผู้บริหารประมาณ 500 คน จะถูกเลิกจ้างทั้งหมด ซึ่งบริษัทจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย พร้อมด้วยเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินช่วยเหลือพิเศษ
สำหรับการปิดดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจร่วมกันทั้งจากกลุ่มเซ็นทรัลและผู้ถือหุ้นเจดีดอทคอม ซึ่งได้ปิดให้บริการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ส่วนธุรกิจอื่นๆ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของเจดีดอทคอมที่ให้บริการทั่วโลกนั้น จะยังคงดำเนินงานตามปกติ
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ทำให้บริษัทต้องปิดให้บริการนั้น ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจในไทยเมื่อปี 61 ไม่ใช่ปัจจัยหลัก เพราะหากมองในความเป็นจริงจะพบว่าขณะนี้กลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีในไทยยังขาดทุนทุกปีแม้กระทั่งคู่แข่งเอง หรือธุรกิจด้านบริการจัดส่งอาหาร เพราะเชื่อว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะต้องใช้ระยะเวลานานก่อนที่จะสามารถทำกำไรได้ เนื่องจากลูกค้ามีเพียงในประเทศและเป็นลูกค้ากลุ่มเดิม เพียงแค่ปรับจากซื้อหน้าร้านมาซื้อในออนไลน์เท่านั้น
“หากมองภาพรวมตลาดค้าปลีกปัจจุบันมีมูลค่ามากถึง 200,000 ล้านบาท โดยช่องทางขายผ่านอีคอมเมิร์ซยังมีสัดส่วนเพียง 5-6% เท่านั้น ซึ่งการที่จะสามารถทำกำไรได้จะต้องมีสัดส่วนที่มากกว่านี้ จึงเปรียบธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยขณะนี้ เหมือนกับห้างโลตัส คาร์ฟู ที่เริ่มเข้ามาเปิดในไทยเมื่อยุคอดีต ที่คนไทยยังคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าในร้านโชห่วย และยังไม่มีเซเว่นอีเลฟเว่นเข้ามาเปิดให้บริการ ทำให้ท้ายที่สุดต้องออกไปจากตลาดไทย และเมื่อเวลาผ่านไป คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับห้างก็ทำให้เกิดห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เกต ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ขึ้นมากมาย บวกกับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 64 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านสั่งซื้อออนไลน์น้อยลง”